เรียกว่าเรตติ้งกำลังมาแรงทีเดียว แถมยิ่งใกล้นับถอยหลังสู่ประตูวิวาห์ในวันที่ 5 ต.ค.ที่จะถึงนี้ ยิ่งเห็นนักร้อง-นักแสดงหนุ่มอารมณ์ดี “ปีเตอร์ คอร์ป ไดเรนดัล” ได้รับเชิญออกงานอีเวนท์มากเป็นพิเศษ อย่างล่าสุดมาร่วมงาน “The Promenade Big Bike Show 2013” ในฐานะไบค์เกอร์ตัวจริง พร้อมควบสองล้อคู่ใจมาให้แฟนๆ ได้ยลโฉมอย่างใกล้ชิดอีกด้วย
โดยนักร้องหนุ่มลูกครึ่งไทย-เดนมาร์ก เผยประสบการณ์การขี่มอเตอร์ไซค์ของตัวเองว่า เริ่มต้นตั้งแต่อายุ 12 ปี ฝึกหัดขี่ด้วยตัวเองและอยู่ภายใต้การดูแลของผู้ใหญ่ ขณะที่ในดินแดนโคนมพื้นที่ส่วนมากจะเป็นเส้นทางวิบาก ดังนั้น การขี่จึงค่อนข้างที่จะยากและท้าทายมากกว่าทางเรียบ แต่อุปสรรคดังกล่าวไม่มีผลแต่อย่างใด เพราะเขาเลือกที่จะหัดขี่เองโดยไม่มีใครบังคับ ทุกอย่างเกิดจากใจรักล้วนๆ
“ผมรักการขี่มอเตอร์ไซค์มาก พยายามศึกษาและเรียนรู้ทุกอย่าง ทั้งทักษะการควบคุม ด้านเทคนิคและการปรับจูน จนเมื่อผมอายุ 14 ปี สามารถประกอบมอเตอร์ไซค์คันแรกได้เอง เรียกว่ารื้ออกมาทั้งคันและนำกลับเข้าไปเหมือนเดิมได้เลย นอกจากนั้น ยังเคยไปสมัครและได้เป็นหนึ่งในสมาชิกโมโตครอสคลับที่เดนมาร์กด้วย”
หลังจากย้ายมาอยู่เมืองไทย สายสัมพันธ์ระหว่างสองล้อกับนักแสดงหนุ่มอารมณ์ดีไม่ได้จางหายไป แต่กลับเข้มข้นยิ่งกว่าเดิม แม้ว่าจะเปลี่ยนรูปแบบจากทางฝุ่นมาสู่ทางเรียบบนท้องถนนก็ตาม
“จริงๆ ผมขี่ได้ทุกแนวนะ เพียงแต่เริ่มต้นจากสายทางฝุ่น เพราะที่เดนมาร์กส่วนใหญ่จะมีแต่แทร็คแนววิบาก ผมก็เลยต้องเริ่มจากแนวนี้ ซึ่งพอมาอยู่ที่นี่สไตล์การขี่จะกลับกัน อีกอย่างเป็นเพราะติดเรื่องคิวงานด้วย ไม่ค่อยมีเวลาไปออกทริปที่ไหน จึงได้สัมผัสแต่บนถนนทางเรียบ แต่หากนับความถี่ถือว่ามากกว่าเดิมด้วยซ้ำ เพราะคราวนี้ได้ขี่บ่อยมากแบบเป็นเรื่องเป็นราวกันเลยทีเดียว”
สำหรับบิ๊กไบค์ที่เคยผ่านมือปีเตอร์มาแล้วมีมากมายหลายรุ่นหลากยี่ห้อ ทั้งแบบสปอร์ตและทัวริ่ง ยกตัวอย่างชื่อรุ่นที่นักบิดคุ้นเคย อาทิ สุดยอดจ้าวความเร็ว ซูซูกิ ฮายาบูสะ (GSX 1300R HAYABUSA) หรือสปอร์ตชื่อดังจากค่ายปีกนกในตระกูล CBR กระทั่งเน็กเก็ตรุ่นใหญ่ของแบรนด์หรู บีเอ็มดับเบิลยู K1200R เป็นต้น
“ผมขี่มาแล้วหลายยี่ห้อ แต่ตอนนี้มาจบที่ฮาเลย์-เดวิดสัน เพราะมันขี่สบายกว่ายี่ห้ออื่น โดยเฉพาะเป็นแนวครุยเซอร์ ซึ่งท่านั่งค่อนข้างลงตัวขี่ได้ทั้งใกล้และไกล โดยรุ่นที่ใช้อยู่และขี่มาวันนี้ คือ สปอร์ตเตอร์ 48 (Sportster 48) เครื่องยนต์ 2 สูบ แบบวี-ทวิน ขนาด 1,200 ซีซี. ส่วนอีกรุ่นที่ใช้แต่ไม่ได้เอามา คือ แฟต บ็อบ (Fat bob) เครื่องยนต์สูบวีเหมือนกันแต่ใหญ่กว่าด้วยความจุขนาด 1,600 ซีซี.”
ในส่วนความประทับใจของสองล้อคันโปรดที่เอามาอวดโฉม ปีเตอร์เล่าว่า มันเหนือกว่าบิ๊กไบค์รุ่นอื่นตรงที่ความเก่าแก่ของแบรนด์ หรือความคลาสสิกที่แบรนด์อื่นให้ไม่ได้ นอกจากนั้น ยังเด่นในด้านท่านั่งที่สบายหากเทียบกับแนวสปอร์ต ซึ่งจะเหนื่อยและเมื่อยกว่ามากโดยเฉพาะการใช้งานในเมือง
“ผมว่าคนขี่ฮาร์เลย์มันเท่นะ และตรงกับบุคลิกของผมด้วยที่ร้องเพลงป็อปร็อค ทำให้ภาพที่ออกมามันเท่แบบร็อคๆ (หัวเราะ) โดยคันนี้เคยพาไปออกทริปไม่ไกลมาก แค่อยุธยาและหัวหินเท่านั้น และผมว่าการขี่บิ๊กไบค์ไม่ว่าในชีวิตประจำวันหรือใช้สำหรับท่องเที่ยว มันเป็นไลฟ์สไตล์ที่เท่ดี อีกอย่างกลุ่มคนที่ขี่ในบ้านเราเป็นสังคมที่น่ารักด้วย อยากให้คนที่สนใจได้ลองมาสัมผัสด้วยตัวเอง รับรองว่าต้องชอบและจะได้มีเพื่อนขี่บิ๊กไบค์กันมากขึ้นครับ”
สำหรับประเด็นหลังจากได้เป็นว่าที่คุณพ่อแล้ว ลักษณะการขี่เปลี่ยนไปอย่างไร ปีเตอร์เผยว่า ทุกอย่างยังเหมือนเดิม เพราะเขาเป็นคนที่ระมัดระวังมากอยู่แล้ว โดยตั้งแต่ขี่บิ๊กไบค์มาไม่เคยประสบอุบัติเหตุเลยสักครั้ง มีเพียงครั้งเดียวตอนนั้นอายุ 15 ปี เหตุเกิดจากพื้นผิวที่เปียกน้ำ และสภาพอากาศอุณหภูมิต่ำกว่าศูนย์องศา เมื่อมีลมพัดมาทำให้น้ำบนถนนกลายเป็นน้ำแข็งในเวลารวดเร็ว ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่เขาขี่ขึ้นเนินมาพอดี โดยล้มในความเร็ว 30 กม./ชม. และโชคดีที่เป็นมอเตอร์ไซค์ขนาดเล็ก จึงไม่มีอะไรเสียหายร้ายแรงนัก
ปิดท้ายให้ปีเตอร์อัพเดตการเตรียมความพร้อมสู่ประตูวิวาห์ในวันที่ 5 ต.ค.นี้ จะมีมอเตอร์ไซค์เข้าไปเกี่ยวข้องด้วยหรือไม่
“มีแน่นอนครับ อย่างที่บอกผมรักมอเตอร์ไซค์มาก ธีมการแต่งงานก็อยากให้รถคันโปรดมีส่วนร่วมด้วย ตามสไตล์เท่แบบร็อคๆ โดยจะมีฮาร์เลย์ขี่นำขบวนมาสัก 7-8 คัน ส่วนผมก็นั่งในรถยนต์หรูต่อท้าย อาจจะเป็นเบนท์ลีย์หรือไม่ก็โรลส์-รอยซ์ และจอดลงเดินบนพรมแดง ออกมาถ่ายรูปและมีพิธีเพียงเล็กน้อย ไม่อยากให้นานมาก เพราะกลัวเจ้าสาว (พลอย-พลอยพรรณ ทวีรัตน์) จะเหนื่อยหรือว่ามีอาการแพ้ท้อง ส่วนแผนฮันนีมูน น่าจะเป็นมัลดีฟ ตอนนี้ก็ยังตัดสินใจกันอยู่ แต่คงไม่ได้ขี่มอเตอร์ไซค์ไปนะครับ (หัวเราะ)”
