RECENT POST
A-C-01<br>Expired::
A-C-02<br>Expired::
A-C-03<br>Expired::
ไปขี่รถในต่างประเทศต้องเตรียมตัวยังไงบ้าง?
By Lee
DATE: 2011.07.04
VIEW: 2275
POST: 0
แบ่งปัน   Like 1

หลังจากเดินทางไปขี่รถใน ยุโรป เมื่อ 2 เดือนก่อน มีเพื่อนๆพี่ๆหลายท่านสอบถามผมว่า ไปขี่ทริปยุโรปหมดไปเท่าไหร่? ครึ่งล้านได้ไหม?เอารถไปไง? ทั้งหมดนี้ไม่ยากอย่างที่คิด แต่ถ้าไม่เตรียมตัวให้ดีก็อาจจะลำบากอยู่เหมือนกันครับ ดีไม่ดี โดนส่งกลับตั้งแต่ลงเครื่องเลยก็เป็นไปได้

การเดินทางไปขี่รถในต่างแดน มีหลากหลายรูปแบบ ตามแต่กำลังทรัพย์-ระยะเวลาที่เอื้ออำนวย รวมไปถึงสไตล์การเดินทางที่ชอบ บางท่านชอบลุยๆ ถึงไหนถึงกัน บางท่านชอบแบบสบายๆ ขี่เอาบรรยากาศ อันนี้คงต้องแล้วแต่ความชอบส่วนบุคคลครับ

การเลือกบริษัททัวร์

ส่วนทริปการเดินทางของผม เป็นทริปที่เดินทางด้วยระบบทัวร์มอเตอร์ไซค์ จาก Edelweiss Bike Travel ซึ่งเป็นบริษัททัวร์ท่องเที่ยวด้วยรถมอเตอร์ไซค์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกในเวลานี้ ถ้าลองเข้าไปดูที่เวปไซท์ www.edelweissbike.com จะเห็นว่ามีทัวร์หลากหลายให้เลือกจองเลือกขี่อยู่ทั่วโลก ข้อดีของการไปขี่ท่องเที่ยวด้วยทัวร์แบบนี้ คงคล้ายๆกับการซื้อแพคเกจทัวร์ทั่วไปที่เราคุ้นเคยกันครับ ไม่จำเป็นที่จะต้องไปล่ารายชื่อเพื่อนๆให้ครบตามจำนวน ถึงจะจัดทัวร์ให้คุ้มค่าใช้จ่าย หรือถ้าไม่มีใครไปจะบินเดี่ยวมันก็กระไรอยู่ แต่ระบบทัวร์แบบนี้ ถึงแม้เราจะมีเวลาว่างอยู่แค่คนเดียว ก็สามารถซื้อทัวร์ไปขี่เที่ยวได้ เพราะจะไปสมทบกับคณะทัวร์ที่มีบรรดาลูกทัวร์ในลักษณะเดียวกันบินไปเจอที่จุดหมายปลายทาง อันนี้เหมาะมากสำหรับผู้ที่อยากเดินทางท่องเที่ยว แต่หาเพื่อนร่วมอุดมการณ์ที่มีเวลาตรงกันไม่ค่อยจะได้

ทัวร์ของบริษัทนี้ โดยเฉลี่ยแล้วลูกทัวร์จะมีอายุค่อนข้างมาก คือมากกว่า 60 ปีเป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากเป็นวัยปลดเกษียณ ไม่ต้องทำงานแล้ว จึงใช้เวลาว่างในงานอดิเรกที่ชอบ และหาโอกาสออกเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆที่เคยวางแผนเอาไว้ตั้งแต่วัยทำงาน แต่ไม่มีเวลาทำให้สำเร็จ ประกอบกับมาตรฐานของการจัดทัวร์ที่สะดวกสบายจึงเป็นสาเหตุให้บรรดาคุณลุงคุณป้า มาใช้บริการกันมากครับ

การเลือกทริป

กลับมาต่อกันที่ทริปยุโรปของผมกันดีกว่า เริ่มต้นผมก็ลองเลือกเส้นทางที่น่าสนใจในเวปข้างต้น จุดหมายแรกที่อยากไปขี่ในยุโรปคือ เทือกเขาแอลป์ ที่ผ่านทุกครั้งด้วยเครื่องบินหรือรถบัส แต่ไม่เคยได้มีโอกาสไปเล่นโค้งด้วยมอเตอร์ไซค์ซักที ลองเช็คดูจะมีทริปผ่านเทือกเขาแอลป์อยู่หลายทริปให้เลือก แต่ท้ายสุดแล้ว ผมเลือก Alps and Lakes เพราะระยะทางกำลังพอดี เวลาที่ไปขี่ไม่นานเกินไป แถมวันที่มีทัวร์ก็อยู่ในช่วงต้นฤดูร้อนของยุโรป คงจะได้กลิ่นไอของความเย็นอยู่บ้างครับค่าใช้จ่ายก็มีให้เลือกตามประเภทรถ ถ้าเลือกรถอย่าง Suzuki V-Storm 650 นอนรวมกับคนอื่น ราคาจะอยู่ที่ 2610 USD แต่ผมอยากลอง Ducati Multi Strada กะนอนคนเดียว ราคาก็จะกลายมาเป็น 3610 USD

พอเลือกทริปได้ ผมก็ส่งเมลคุยกับ Edelweiss ว่าสนใจที่จะซื้อทัวร์อันนี้ การติดต่อค่อนข้างง่ายสำหรับผม เพราะ MD ของที่นี่เคยมาเป็นแขกขี่เที่ยว Esarn Trip เมื่อครั้งงาน Bangkok Motorbike Festival ต้นปีที่ผ่านมา ทำให้การจองรถ การจองทริป เป็นไปด้วยความรวดเร็ว ทั้งที่โดยปกติแล้ว ก็คงไม่มีอะไรติดขัดหรอกครับ หลังจากทำการจองทัวร์เรียบร้อยแล้ว ทาง Edelweiss จะขอมัดจำเป็นเงิน 500 USD โดยจ่ายผ่านทางบัตรเครดิต ก็ไม่ได้ยุ่งยากอะไร แค่กรอกแบบฟอร์มการจองทัวร์แล้วก็ให้หมายเลขบัตรเครดิตไปเท่านั้น แต่สำหรับบางคนที่ยังไม่มั่นใจว่าจะได้ไปแน่นอนหรือเปล่า ก็อย่าเพิ่งไปวางมัดจำกับเขานะครับ เพราะถ้าเกิดไปขอวีซ่าแล้วไม่ผ่าน ทางนู่นเค้ามีเงื่อนไขในการคืนเงินค่ามัดจำที่ค่อนข้างหยุมหยิมพอสมควร ทางที่ดีวางแผนทริปตั้งแต่เนิ่นๆ แล้วขอวีซ่าให้เรียบร้อยก่อนจะดีกว่า

ประกันอุบัติเหตุ

สำหรับบางท่านที่กังวลหากเกิดเหตุการณ์ใดๆระหว่างการเดินทางขี่มอเตอร์ไซค์ เพราะค่าใช้จ่ายในการรักษาในต่างประเทศ สูงลิบจนบางครั้งอยากจะทนเจ็บกลับมารักษาที่บ้านเรา ท่านสามารถซื้อประกันอุบัติเหตุเพิ่มเติมที่คุ้มครองในกรณีขี่รถมอเตอร์ไซค์ได้ด้วย ผมให้ทาง Edelweiss หามาเพิ่มให้ ค่าเบี้ยอยู่ที่ประมาณ 26 EUR ส่วนประกันที่ต้องถูกบังคับทำที่เมืองไทยสำหรับใช้ขอวีซ่า ผมก็ทำอีกใบซะเลย ก็ไม่แน่ใจว่าอันไหนมันคุ้มครองครบถ้วน ก็เลยซื้อเอาไว้กันเหนียวครับ

การเทรนก่อนขี่จริง

สำหรับทริป Alps and Lakes จะมีคอร์สอบรมระยะสั้นก่อนขี่ขึ้น Alps เพื่อที่จะได้ทำความคุ้นเคยกับตัวรถ และเรียนรู้ทักษะเบื้องต้นก่อนที่จะออกเดินทาง ถ้าใครอยากจะเสริมสร้างความมั่นใจก่อนลุยจริง คอร์สนี้กำลังเหมาะครับ เพราะจะต้องเดินทางไปก่อนวันจริง 1 วัน อบรมทฤษฏีช่วงเช้า พอตอนสายก็ไปลองรถ ช่วงบ่ายขี่ไปเที่ยวเมืองใกล้ๆจะได้คุ้นเคยกับรถ แต่จะต้องเพิ่มค่าใช้จ่ายไปอีก 380USD เป็นค่าอบรม, ค่าเช่ารถ, ค่าที่พัก, ค่าอาหาร 1 มื้อ ผมว่าคุ้มนะ เพราะจับรถวันแรกถึงกับเหวอ ไม่ได้ขี่รถสูงๆมาตั้งนาน แต่พอจบวัน คราวนี้พริ้วเลยครับ ลุงๆทั้งหลาย ได้มีโอกาสล้มแผละเล่นๆก็ตอนอบรมเนี้ยแหล่ะ ดีกว่าไปล้มอยู่บนถนนจริง

จองตั๋วเครื่องบิน

หลังจากรู้กำหนดการเดินทางของทริปที่จะไปเรียบร้อยแล้ว คราวนี้ก็มาจองตั๋วเครื่องบินเพื่อที่จะไปยังสนามบินของเมืองจุดเริ่มต้นของทริป วันที่จะต้องไปถึงคือ วันก่อนเริ่มขี่ เช่น เริ่มขี่วันจันทร์ ก็ต้องไปถึงก่อน 5 โมงเย็นวันอาทิตย์ ส่วนวันกลับก็คือ วันหลังจากจบการเดินทาง เช่น จบทริปการขี่วันเสาร์ ก็จองตัวกลับวันอาทิตย์ ส่วนจะเลือกสายการบินอะไร อันนี้แล้วแต่กำลังทรัพย์ในกระเป๋าครับ ตั๋วที่ราคาไม่แพงก็คงจะเป็นพวกสายการบินทางตะวันออกกลาง แต่ต้องไปแวะเปลี่ยนเครื่องเสียเวลากันประมาณ 2-3 ชั่วโมง อย่างตอนที่ผมไป ผมใช้บริการของ Qatar Airline ต้องแวะเปลี่ยนเครื่องกันที่ โดฮา ก็ไม่ได้เสียเวลามากมายอะไร แค่ชั่วโมงกว่าๆ ก็ไปต่อแล้ว แถมค่าตั๋วเครื่องบินก็ไม่แพงประมาณ 3 หมื่นกว่าบาท แต่ถ้าอยากจะนั่งแบบ Direct ขึ้นเครื่องแล้วกินยานอนหลับ ตื่นขึ้นมาอีกทีก็เตรียมลง ก็คงต้องเป็น การบินไทย หรือพวก Lufthansa แต่ราคาจะขึ้น 5 หมื่นกว่าบาทครับ หลังจากจองตั๋วเครื่องบินกับ Agent เรียบร้อยแล้ว ก็เอาใบจองตั๋วมาใช้ประกอบการยื่นวีซ่า ยังไม่ต้องไปจ่ายเงินค่าตั๋วนะครับ แค่ใบจองก็พอแล้ว เดี๋ยวขอวีซ่าไม่ผ่านจะกลายเป็นเสียเงินฟรี ไว้ได้วีซ่าเรียบร้อยแล้ว ค่อยจ่ายเงินค่าตั๋ว

การขอวีซ่า

หลังจากนั้นเป็นขั้นตอนที่ต้องใช้เวลาพอสมควร นั้นคือการขอวีซ่า Schengen เพื่อเดินทางเข้าสู่ประเทศในกลุ่มยุโรป วิธีการขอวีซ่าขึ้นอยู่กับระเบียบการขอของแต่ละประเทศ ต้องเข้าไปดูในเวปสถานฑูตของประเทศที่ท่านต้องการเดินทางเข้าไปว่ามีระเบียบข้อกำหนดอย่างไรบ้าง ซึ่งสิ่งสำคัญในการขอวีซ่า Schengen ก็คือ อยู่ประเทศไหนนานที่สุดให้ไปขอที่ประเทศนั้น อย่างทริป Alps & Lakes ที่ผมเดินทางไปขี่ จุดเริ่มต้นอยู่ที่ Munich แต่พักอยู่ในประเทศ ออสเตรีย มากกว่า อันที่จริงแล้วต้องไปขอที่สถานฑูต ออสเตรีย แต่ด้วยความเข้าใจผิดมาโดยตลอด ทำให้ผมนึกแค่ว่า เข้าประเทศไหนก่อนให้ขอประเทศนั้น ครั้งแรกก็เลยจองคิวขอวีซ่ากับสถานฑูตเยอรมัน ด้วยคิวการรอร่วม 1 เดือนเต็ม คิดว่ายังไงๆก็ได้ ทันวันออกเดินทางแน่นอน แต่พอถึงวันนัดสัมภาษณ์ พอยื่นเอกสารการจองที่พักให้เจ้าหน้าที่สถานฑูต กลับกลายเป็นว่า ต้องไปขอกับสถานฑูตออสเตรีย จะขอร้องยังไงก็ไม่ยอมรับฟัง ทั้งที่จริงๆแล้ว เอกสารที่ยื่น ถ้าปรับเปลี่ยนวันซักนิดหน่อยให้อยู่ใน เยอรมัน มากกว่าก็เป็นอันเสร็จพิธีครับ พอหน้าหงายออกจากสถานฑูตเยอรมัน เลยต้องรีบแจ้นไปสถานฑูตออสเตรีย ที่อยู่ในซอยใกล้ๆกัน พอไปถึงก็พบกับข่าวดีว่า ต้องรอคิวอีกประมาณ 2 สัปดาห์ เรียกว่าได้คิววันออกเดินทางพอดี แต่ในท้ายที่สุดแล้ว เราก็หาทางขอวีซ่าทันจนได้ อันนี้ขอไม่ออกอากาศนะครับ เพราะเดี๋ยวผิดระเบียบทางราชการ :D

ประสบการณ์ในการขอวีซ่าคราวนี้ นับว่าเป็นบทเรียนอย่างดีครับ ยิ่งในกรณีจ้างให้บริษัทที่อ้างตัวว่ารับทำวีซ่าให้ได้ ยิ่งไปกันใหญ่ ในกรณีของพี่เปรียว เกือบต้องโดนส่งตัวกลับ เพราะบริษัทที่รับจ้างทำ เค้ากุเรื่องการเดินทางเอาเอง แล้วก็ไปขอกับสถานฑูตที่ไม่ต้องให้ผู้เดินทางไปแสดงตัวอย่างประเทศฝรั่งเศส ถ้าเดินทางไปลงฝรั่งเศสก็สบายไปครับ แต่ถ้าไปลงที่เยอรมัน เจ้าหน้าที่ ตม. ของที่นี่เค้าจะมาดักรอกันตั้งแต่ปากทางออกเครื่อง ตรวจวีซ่าด่านแรกกันตรงนั้นเลย พอเห็นว่าเป็น วีซ่าของประเทศอื่น ก็จะกักตัวเพื่อสอบถามว่าทำไมถึงขอจากที่อื่นแล้วมาเข้าที่นี่ ถ้าเรามีเอกสารยืนยันว่า เราพักที่อื่นมากกว่าแต่เริ่มต้นเดินทางที่เยอรมัน ทางเจ้าหน้าที่จะโทรไปสอบถามว่าเราจองที่พักไว้ตามที่แจ้งจริงหรือเปล่า ถ้าเป็นความจริงก็ไม่มีอะไร แต่ถ้ากุเรื่องขึ้นมาเหมือนกรณีพี่เปรียว อันนี้คงต้องอาศัยโชคช่วยให้เค้าเชื่อเรื่องที่กุขึ้นหล่ะครับ

ใบขับขี่สากล

ไปทำได้ที่ได้สำนักงานกรมขนส่งใกล้บ้านครับ ค่าธรรมเนียม 505 บาท เอาใบขับขี่ไทยไปยืนขอ แป๊ปเดียวก็ได้แล้ว แต่พอไปถึงนู่นไม่ยักกะได้ใช้ ไม่มีตำรวจมาตรวจซักคน แต่ถ้าตรวจแล้วไม่มีคงโดนหนักกว่า 505 บาท เพราะฉะนั้นทำไปเถอะครับ

แลกเงิน

ประเทศในกลุ่มยุโรปใช้เงินสกุล Euro ซึ่งช่วงที่ผมไป อัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่ 43 บาทต่อ 1 ยูโร แลกไปไม่ต้องเยอะหรอกครับ ซัก 1000 ยูโร ก็พอแล้ว นอกเสียจากว่าตั้งใจจะไป shopping ของฝาก แต่ถ้าตั้งใจจะไปซื้อของแต่งรถ HD คงจะต้องผิดหวังครับ เพราะในยุโรป พวกของแต่งรถจาก อเมริกา จะราคาสูงพอๆกับบ้านเรา  หรือจะใช้บัตรเครดิตก็สะดวกดีครับ เพราะแทบทุกที่ในยุโรปเค้ารับบัตรเครดิตพวก Visa หรือ Master Card อยู่แล้ว สำหรับสถานที่แลกเงิน ก็แลกได้ตามธนาคารหรือที่สนามบิน แต่ถ้าอยากได้เรทดีๆ ก็ Super Rich ที่อยู่ราชดำริ ตรงข้าง Central World จะให้เรทดีที่สุดครับ

จ่ายเงินค่าทัวร์

หลังจากจัดเตรียมทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ก็ได้เวลาจ่ายเงินค่าทัวร์ส่วนที่เหลือ ถ้าจำไม่ผิด จะต้องจ่ายค่าทัวร์ก่อนวันเริ่มต้นทริป 30 วัน เพราะฉะนั้น ก็ควรที่จะวางแผนทริปไว้ล่วงหน้า ให้รู้ว่าได้วีซ่าชัวร์แล้ว ถึงค่อยจ่าย แต่สำหรับทริปของผม ผมจ่ายไปก่อนเลย เพราะคิดว่ายังไงๆก็ได้วีซ่าอยู่ดี แต่ที่ไหนได้ เกือบเสียเงินฟรีเพราะมาตายน้ำตื้นเกี่ยวกับระยะเวลาที่อยู่ในออสเตรีย สำหรับการจ่ายเงินส่วนที่เหลือกับ Edelweiss สามารถจ่ายได้ทั้งแบบโอนผ่านทางธนาคาร และแบบบัตรเครดิต แต่ถ้าเป็นอย่างหลังจะโดนชาร์จ 3% แต่ผมเลือกวิธีโอนเงินผ่านทางธนาคาร ไม่ยุ่งยากครับ แค่พิมพ์ใบยืนยันการจองทัวร์ที่ทาง Edelweiss ส่งมาให้ แล้วไปโอนเงินกับธนาคารที่มีบริการโอนเงินต่างประเทศ ทางธนาคารก็จะดำเนินการให้เสร็จเรียบร้อย จะมีก็ตอนถามว่าโอนไปเป็นค่าอะไร พอผมบอกว่า ค่าทัวร์ขี่มอเตอร์ไซค์ เจ้าหน้าที่ถึงกับ งง บอกว่าไม่เคยได้ยินมาก่อน แถมถามใหญ่ว่าไปยังไง ไม่อันตรายเหรอ 555 เหมือนกำลังทำเรื่องประหลาดอยู่เลยแฮะ

จัดกระเป๋า

ทริปที่ไป ผมขนของไปแค่พอใช้งานครับ คร่าวๆก็มีประมาณนี้

- กางเกงยีน 2 ตัว (ใส่ตั้งแต่วันไป 1 ตัว ส่วนอีกตัวเก็บเอาไว้เผื่อตัวแรกเปียก กลายเป็นใส่ตลอดทริปแค่ตัวเดียว อากาศมันเย็นไม่เหม็นหรอกครับ 555)

- เสื้อยืดแขนยาวเยอะหน่อย เอาไปครบวัน

- ถุงเท้าครบวัน

- กางเกงในครบวัน ขี้เกียจซัก

- กางเกงใส่นอน เสื้อใส่นอน

- ชุดขี่แบบกันฝน

- เสื้อกันหนาว, แจ๊คเก็ตหนัง กะ Chaps

- ผ้าพันคอ ผ้าปิดหน้า

- รองเท้าบูท แค่คู่เดียว ใส่ตลอดทริป

- หมวกกันน็อคแบบเต็มใบ กะแบบครึ่งใบ ซึ่งไม่มีโอกาสใช้แบบครึ่งใบแน่นอน เพราะหนาว กะผิดกฏหมาย เพราะฉะนั้น ไม่ต้องเอาไปให้เปลืองเนื้อที่

- ถุงมือเต็มนิ้ว กะครึ่งนิ้ว อันนี้เอาไปเผื่อไว้ก่อนก็ดี แต่ผมใช้แต่แบบครึ่งนี้ว เพราะใส่เต็มนิ้วแล้วไม่ถนัด บีบคลัชท์กะบิดคันเร่งไม่สะดวก

- ยารักษาโรคประจำตัว กะยาแก้ท้องเสีย อันนี้ได้มาจากพี่จุ๊บ เพราะเวลาออกทริปยาวๆแล้ว เรื่องยาสำคัญมาก ยิ่งในยุโรปด้วยแล้ว เค้าไม่ขายยาในร้านทั่วไปเหมือนทางฝั่งเอเซีย เพราะฉะนั้นจัดไปเองดีที่สุดครับ

- แพคเกจโทรศัพท์ กะแพคเกจ Internet ตอนนี้เค้ามี Sim ที่ใช้ตามประเทศต่างๆขายในเนท อย่างของ ThaiHiSim ผมเคยเอาไปใช้ที่จีน ใช้สะดวก โทรกลับบ้านนาทีละ 3 บาท รับสายจากที่บ้านนาทีละ 1 บาท ส่วนแพคเกจ Internet ของทางยุโรป ไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่ครับ ซื้อซิมแบบ Prepaid ก็ไม่ค่อยมีแพคเกจเนทให้ใช้ เผลอไปเปิด BB แค่ 2 ชั่วโมง บิลเรียกเก็บเงินเพิ่งมา ถึงได้รู้ว่าโดนไปร่วม 4 พัน

- กระเป๋าตังค์, บัตรเครดิต, เงินยูโร, ใบขับขี่สากล

- พาสปอร์ต ลืมไม่ได้เด็ดขาด เดี๋ยวอดไป

นอกนั้นอยากขนอะไรไปเพิ่มก็ตามอัธยาศัยครับ ส่วนกระเป๋า ผมเอาแบบ Hard Case ไปเลย เพราะทัวร์ที่เลือกมีบริการขนกระเป๋าขึ้นห้องเมื่อจบวันให้ด้วย แต่ตอนเช้าต้องเอาลงมาที่ Lobby เอง ส่วนระหว่างการขี่ กระเป๋าของเราก็จะไปจอดอยู่ในรถ Service ที่จะคอยขนของไปให้ระหว่างการเดินทาง ไม่ต้องกังวลว่าจะต้องมัดของไปบนหลังรถ แต่ถ้าเลือกทัวร์อีกแบบที่เรียกว่า Ride for fun จะต้องขนกระเป๋าเองตลอดทาง แต่ราคาก็จะถูกกว่าอยู่เยอะเหมือนกัน

เดี๋ยวมาต่อตอน 2 ครับ

Comments