ฮาร์เล่ย์กระชากใจสาวก จับซอฟเทลล์แปลงโฉมใหม่ในแบบ Dark Custom
วันที่ 4 มกราคม 2554
โดย Kevin Duke
ตระกูลซอฟเทลล์ได้สมาชิกใหม่หน้าตาวายร้ายเพิ่มขึ้นอีกหนึ่ง หลังจากการเปิดตัวแบล็คไลน์ 2011 โดยเป็นตัวล่าสุดในรูปแบบ “ดาร์ค คัสตอม” อันประสบความสำเร็จของ เดอะ มอร์เตอร์ คอมพานี
ฮาร์เล่ย์บรรยายไว้ถึงลักษณะเด่นของซอฟเทลล์รุ่นไฮเอ็นด์ตัวนี้ไว้ว่า “เฉียบคมดั่งเส้นลวด, แข็งแกร่งดุจเหล็กกล้า ดำมืดดั่งถนนถนนลาดยางยามค่ำคืน” แต่จากที่เราได้ไปพบตัวจริงที่นิวยอร์คมาเมื่อไม่กี่สัปดาห์มานี้ ก็ต้องขอฟันธงว่ามันต้องมีทีเด็ดมากกว่านั้น
แบล็คไลน์ตัวใหม่ได้เพิ่มการทำสีดำด้านแบบ “Black Denim” ในส่วนของเฟรมและสวิงอาร์ม ล้อสีอลูมิเนียมขอบเคลือบดำ ส่วนด้านหน้ารถเป็นแบบรุ่น FX ผสานกับแฮนด์แบบสปลิท แดร็กที่ตั้งอยู่บนแผงคอ (ทริปเปิ้ลแคล้มพ์) ขนาดบางเฉียบสีดำด้าน
Harley-Davidson Blackline Softail
แรงบันดาลใจในการแปลงโฉมแบล็คไลน์นั้นมาจาก เคซี่ เคทเทอร์ฮาเก้น นักออกแบบอาวุโสของฮาร์เล่ย์ ซึ่งให้ความสำคัญกับสัดส่วนของมอเตอร์ไซค์เป็นอย่างมาก เขาต้องการให้มันดูเหมือน “ผู้ขี่กำลังคร่อมอยู่บนเครื่องยนต์เปล่าๆ”
Harley-Davidson Blackline Softail
และจากแนวคิดนั้นเอง ลวดลายบนตัวรถจึงลดลง (ไม่มีตราฮาร์เล่ย์แบบนูนเหมือนรุ่นอื่นๆ) ใช้สีของอลูเนียมให้น้อยที่สุดโดยเน้นความดำมืดเป็นหลัก ตอกย้ำเรื่องความเพรียวบางของตัวรถ ถังน้ำมันซอฟเทลล์ขนาด 5 แกลลอนถูกจึงจับปลดอุปกรณ์ทั้งหลายแหล่จนเหลือเพียงเกจวัดความเร็วบนแผงคอแบบอนาล็อค ทั้งยังแทนที่เกจวัดน้ำมันแบบเดิมๆที่ดูเหมือนฝาปิดถัง ด้วยหน้าจอดิจิตอลขนาดเล็กบอกระยะทางที่เหลือต่อน้ำมันในถัง (miles-to-empty LCD) ตรงด้านล่างของไมล์
แม้ว่ารูปลักษณ์พื้นฐานของแบล็คไลน์จะใกล้เคียงกับซอฟเทลล์ แต่คราวนี้เหล่านักออกแบบได้สร้างความเปลี่ยนแปลงโดยการพยายามทำให้ตัวรถดูแหกมาตรฐานเดิมของตัวเอง เริ่มด้วยการดึงบังโคลนหลังให้ต่ำลงมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ผลคือความสูงของเบาะที่วัดจากพื้นเหลือแค่ 26.1 นิ้ว กลายเป็นเบาะนั่งสองคนแบบยกท้ายที่เตี้ยที่สุดจากทีมงานมิลวอคกี้ กระจกมองข้างปรับมาอยู่ในตำแหน่งแคบให้ยื่นออกจากตัวรถน้อยที่สุด แผงคอถูกปรับให้เหลือความหนาแค่ 1 นิ้วเพื่อให้ตรงตามคอนเซปท์การแปลงโฉมครั้งนี้
เรย์ เดรีย รองประธานและหัวหน้าฝ่ายการออกแบบของฮาร์เล่ย์สรุปสั้นๆ โดนๆ ไว้ว่า“เราพยายามจะทำให้มันดูผิดกฎหมายมากที่สุดเท่าที่จะทำได้”
“การกระชับสัดส่วน” ยังคงไม่จบแค่นี้ ยางที่ใช้มีขนาดเพียง 144 มม. โดยเอามาจากแบบของรถทัวริ่งในยุคก่อนปี 08 เป็นการตอกหน้าการเคลื่อนไหวบนยางเส้นใหญ่ที่อืดอาดหงายเงิบ บังโคลนหลังถูกตัดเล็มอย่างดีจนดูสะอาดตาพะด้วยชุดไฟหลัง/เลี้ยว ที่ใส่ป้ายทะเบียนต่อลงมาจากปลายบังโคลน ส่วนบังโคลนหน้ายึดไว้กับคู่ตะเกียบสีดำด้าน
การจับเปลือยยังดำเนินต่อไป ตะเกียบหน้าแบบ FX ขนาด 41 มิลลิเมตรถูกวางไว้ห่างกันจนทำให้ไฟหน้าขนาด 5.75 นิ้วดูเหลือแค่ดวงนิดเดียว ช่องว่างระหว่างเบาะและถังน้ำมันเผยให้เห็นความเพรียวบางลู่ลมของตัวรถ
บั้นท้ายเพรียวบางของเจ้า Blackline
พร้อมด้วยขุมพลังของเครื่องยนต์แบบ V-Twin
ส่วนเครื่องยนต์นั้นเหมือนซอฟเทลล์ตัวอื่นๆ คือ TC96B เคาเตอร์บาลานซ์ แบบ 6 เกียร์ จะต่างไปก็คือสีแบบทูโทนที่ทำขึ้นใหม่ ทางปลายด้านล่างของตัวเครื่องถูกเคลือบสีดำวาว ตัดกับฝาสูบสีเงินที่เน้นให้ตัวเครื่องเด่นขึ้นมา ฝาครอบเดอร์บี้, ครอบไทเมอร์ และกรองอากาศวาววับด้วยสีอลูมิเนียม อีกส่วนที่เป็นสีอลูมิเนียมของแบล็คไลน์ตัวนี้คือท่อไอเสียคู่แบบช็อทกัน ฮาร์เล่ย์บอกไว้ว่า “เอาแค่ส่วนสะท้อนแสงน้อยๆ เพื่อมาขับให้ความดำมืดนั้นทะมึนถึงที่สุด”
เมื่อฮาร์เล่ย์ ไม่ใช่แค่มอร์เตอร์ไซค์ของเหล่า ส.ว.
ขณะที่อายุเฉลี่ยของผู้ครบครองฮาร์เล่ย์นั้นมีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อยๆ แต่ด้วยการส่งมอเตอร์ไซค์ในรุ่น “ดาร์ค คัสตอม” ออกมานั้น ถือเป็นการประสบความสำเร็จในการดึงกลุ่มลูกค้าวัยสะรุ่นให้เข้ามาเป็นสาวกฮาร์เล่ย์อย่างสวยงาม
ไมเคิล โลวนีย์ ผู้อำนวยการฝ่ายเผยแพร่การตลาดได้กล่าวไว้ว่า ในสองปีที่ผ่านมา ยอดการขายของฮาร์เล่ย์ต่อกลุ่มผู้ซื้อในช่วงอายุ 18-34 ปีนั้น มีจำนวนมากกว่าที่เอายอดขายของเอพริลล่า, บีเอ็มดับเบิ้ลยู, ดูคาติ, ไทรอัมพ์ และวิคตอรี่มารวมกันเสียอีก !
ตอนนี้ฮาร์เล่ย์ครองส่วนแบ่งตลาดอันดับหนึ่งของเซกเมนท์คนอายุ 18-34 ปีในทุกๆ รุ่นเครื่องยนต์ โลวนีย์ยัง |
Mike Lowney ขณะกำลังเปิดเผยถึงเรื่องราวของเจ้า 'ดาร์คคัสตอม' ตัวนี้
|
เสริมว่า คนในกลุ่มนี้สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภท ประเภทแรกคือกลุ่มลูกค้าใหม่ สองคือกลุ่ม Conquest Sales (เลือก ซื้อโดยไม่มีความชื่นชอบฮาร์เล่ย์หรือ แบรนด์อื่นๆ เป็นทุนเดิม แต่เลือกที่จะซื้อฮาร์เล่ย์) และสาม คือกลุ่มลูกค้าเก่าที่ซื้อซ้ำ
ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตาม นักบิดอายุน้อยดูจะถูกอกถูกใจกับรถในแบบ “ดาร์ค คัสตอม” เอาเสียเต็มประดา ยกตัวอย่างก็พวก ไอรอน 883, ไนท์สเตอร์, ฟอร์ตี้-เอ็ท, สตรีท บ๊อบ และครอสโบนส์ แต่จริงๆ แล้วฮาร์เล่ย์ได้วางจำหน่ายมอเตอร์ไซค์แบบดาร์ค ดาร์ค มาแล้วนับสิบๆ ปี คิดไปคิดมาแล้วไอ้เทรนด์มืดมืดนี่อาจจะมาเริ่มฮิตเอาเมื่อปี 1981 ด้วยรุ่น สเตอร์กิส (รูปแบบของ FX ในโทนสีดำ) แล้วตามมาด้วย ไนท์ เทรน ที่เพิ่งจะมาแผ่วเมื่อ 2-3ปีที่ผ่านมา แต่ก็ทำยอดขายถล่มทลายในกลุ่มวัยรุ่นตอนปลายไม่แพ้กัน |
ท่าทางการขับขี่บนแบล็คไลน์นั้นดูโหดใช่เล่น กำปั้นชูไปในอากาศแบบแคบเข้าหากันบนแฮนด์ที่เดินเก็บสายไฟด้านในเป็นอย่างดี ตอนแรกนั้น ทีมออกแบบพยายามจะจับใส่แฮนเดิลแบบคลิปออน แต่ผลที่ออกมาไม่น่าพอใจเพราะไม่สามารถรักษาวงเลี้ยงไว้ได้อย่างเพียงพอ พวกเขายังยกเลิกออพชั่นในการปรับแต่งเอง แผงควบคุมที่เท้าได้รับการขัดขึ้นเงา
พูดถึงส่วนล่างของรถ แกนล้อหน้าขนาด 21 นิ้วและแกนล้อหลังขนาด 16 นิ้วถูกวางห่างจากกัน 66.5 นิ้ว ในขณะที่มุมเอียงอยู่ที่ 30 องศา เหมือนๆ กับครุยเซอร์โหลดต่ำทั้งหลาย มุมเอียงของรถนั้นจำกัดอยู่เพียง 24.4 องศาทางด้านซ้ายและ 25.9 องศาทางด้านขวา ระบบกันสะเทือนด้านหลังเหมาะสมที่ 3.6 นิ้ว
ระบบเบรกเป็นคาลิเปอร์แบบลูกปืนสี่ลูกทั้งหน้าหลังบนจานขนาด 292 มิลลิเมตร ซึ่งน่าจะเพียงพอกับน้ำหนัก 683 ปอนด์ของเจ้าแบล็คไลน์ (รวมของเหลว) คุณสามารถจ่ายเพิ่ม 1,195 ดอลล่าร์สหรัฐสำหรับระบบป้องกันเบรกล็อคและระบบความปลอดภัยอัจฉริยะ (Smart Security System)
Harley-Davidson Blackline Softail
แม้ว่าแบล็คไลน์นั้นจะเริ่มต้นจากการเป็นเพียงโปรเจคข้างเคียงของเคทเทอร์ฮาเก้น แต่ทีมนักออกแบบ 12 คนของฮาร์เล่ย์ก็ระดมมันสมองกันสุดๆ นี่รวมไปถึง วิลลี่ จี เดวิดสัน ผู้เป็นตำนานที่โดดมาร่วมวงด้วย เรย์ เดรีย ได้อธิบายโปรเจคต์นี้ว่าเป็นการทำงานร่วมกันเหมือนระบบร่างกายเลยทีเดียว ในทุกๆ สัปดาห์ แต่ละทีมก็จะมานั่งรีวิวผลงานของแต่ละคนกันอย่างสม่ำเสมอ “เราอยากให้ในถังขยะของเรา เต็มไปด้วยขยะที่เป็นความคิด”เรย์กล่าว
ตอนนี้แบล็คไลน์กำลังจัดส่งไปยังดีลเลอร์ต่างๆ ที่ราคา 15,499 ดอลล่าร์สหรัฐสำหรับเวอร์ชั่น “Vivid Black” และเพิ่มอีก 499 ดอลล่าร์สหรัฐหากคุณต้องการรุ่น “Cool Blue Pearl” หรือ “Sedona Orange”
Harley-Davidson Blackline Softail
แปลจากบทความของ www.motorcycle.com
ที่มา: http://www.motorcycle.com/manufacturer/harley-davidson/2011-harleydavidson-blackline-softail-90364.html |