A-C-01<br>Expired::
A-C-02<br>Expired::
A-C-03<br>Expired::
 
[Riding & Technique]
 
วิธีเลือกหมวกกันน็อกให้เหมาะกับคุณ
By HDP PR
DATE: 2014.11.17
VIEW: 2219
POST: 0

 



วิธีเลือกหมวกกันน็อกให้เหมาะกับคุณ

 

 

 

 

ปัจจุบัน พาหนะที่เราพบเห็นกันเป็นจำนวนมากบนท้องถนนประเทศไทยคงหนีไม่พ้น รถจักรยานยนต์ ซึ่งเหตุผลที่รถจักรยานยนต์เป็นพาหนะที่ได้รับความสนใจและนิยมกันเป็นอย่างมากนั้น เพราะมีราคาหลายระดับ ขับขี่ลัดเลาะได้สะดวก คล่องตัว มีสมรรถนะให้เลือกได้หลากหลายตามความต้องการและการใช้งานหรือรสนิยม โดยมีทั้งรถขนาดเล็กๆ พอดีกับการใช้งานในเมือง หรือรถขนาดใหญ่สุดเท่ที่วิ่งฉิ่ว

และแน่นอนว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับคนขี่รถจักรยานยนต์ที่ควรคำนึงถึงตามมาก็คือ อุปกรณ์เสริมความปลอดภัย อย่างหมวกกันน็อก ซึ่งตามกฎหมายแล้วนั้นบังคับให้ผู้ขับขี่ทุกคนสวมหมวกกัน น็อกเพื่อความปลอดภัย แต่ถึงอย่างไรยังมีหลายคนยังไม่มีวิธีการเลือกหมวกกันน็อกที่ถูกต้องกันสักเท่าไหร่ ส่วนใหญ่คงเน้นที่ดีไซน์และราคาซะมากกว่า แต่จริงๆ แล้วยังมีข้อควรพิจารณามากกว่านั้นอีกเยอะ ด้วยเหตุนี้ เราจึงขอนำเสนอวิธีการเลือกหมวกกันน็อกให้เข้ากับศรีษะของแต่ละคนกันดีกว่า

 

 

 

หมวกกันน็อกมีกี่แบบ ?

หมวกกันน็อกที่เราใส่ ๆ กันอยู่ทุกวันนี้ไม่ได้มีเพียงแค่แบบสองแบบเท่านั้น แค่ลองสังเกตตามท้องถนนคุณจะพบว่า มีหมวกกันน็อกหลากหลายแบบเหลือเกิน ซึ่งหมวกกันน็อกตามมาตรฐานสากลแบ่งออกเป็น 5 ชนิดหลัก ๆ ดังนี้

 

 

 

 

 

 

แบบเต็มหน้า (Full Face)

เป็นหมวกกันน็อกที่ออกแบบมาให้รับกับกะโหลกศีรษะของมนุษย์ ปกป้องครอบคลุมตั้งแต่ท้ายทอยไปจนถึงปลายคาง มีช่องเจาะบริเวณตาและจมูกเพื่อให้มองเห็นและหายใจได้สะดวก ปิดด้วยกระจกบังลม ซึ่งอาจมีสีที่แตกต่างกันออกไป แต่กฎหมายไทยระบุว่ากระจกบังลมต้องใสพอจะมองเห็นใบหน้าผู้ขับขี่ได้ ไม่เช่นนั้นก็อาจโดนปรับเช่นกัน นอกจากนี้ หมวกกันน็อกชนิดเต็มใบหน้ายังมีผลการวิจัยชี้ว่าสามารถปกป้องผู้ขับขี่ได้เป็นอย่างดี เนื่องจากผู้เสียชีวิตจากรถจักรยานยนต์มักบาดเจ็บที่บริเวณคางมากถึง 35 เปอร์เซ็นต์

 

 

 

 

 

 

 

 

แบบออฟโร้ด, มอเตอร์ครอส (Off road, Motocross)

หมวกกันน็อกชนิดนี้ดัดแปลงมาจากแบบเต็มหน้าเพื่อใช้ขี่แบบออฟโร้ดโดยเฉพาะ มีความปลอดภัยเช่นเดียวกับแบบเต็มหน้า โดยเพิ่มส่วนบังแดดและยืดบริเวณที่ปิดคางออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน เพื่อป้องกันโคลนที่ปลิวมาขณะขับขี่ แต่ได้ถอดกระจกบังลมออกเพื่อให้อากาศผ่านได้สะดวก ซึ่งผู้ขับขี่ส่วนใหญ่จะเลือกสวมแว่นตาครอบเพื่อป้องกันโคลนที่ปลิวเข้ามาด้วย

 

 

 

 

 

 

 

 

แบบเต็มใบหรือเปิดหน้า (Open face)

ในต่างประเทศเรียกหมวกชนิดนี้ว่าแบบ 3/4 ซึ่งก็เรียกตามรูปร่างของมันคือครอบคลุมหัวเพียง 3 ใน 4 เท่านั้น แต่เป็นหมวกที่ได้รับความนิยมมากที่สุด แม้ว่าจะไม่สามารถปกป้องได้ทั้งใบหน้าก็ตาม หมวกชนิดนี้ จะมีกระจกบังลมครอบทั้งใบ ซึ่งช่วยป้องกันฝุ่นและแมลงที่อาจรบกวนการขับขี่ของเราได้

 

 

 

 

 

 

 

 

แบบโมดูลา (Modular)

เป็นหมวกกันน็อกรูปร่างแบบเดียวกับแบบเต็มใบ แต่สามารถพับส่วนคางขึ้นมาได้ พัฒนามาจากแบบเต็มใบซึ่งไม่มีที่ปิดคาง โดยหมวกชนิดนี้ได้รับความนิยมมากในหมู่ตำรวจในต่างประเทศ เพราะสามารถเปิดบริเวณปากเพื่อพูดคุยหรือแม้กระทั่งกินอาหารได้ทันทีโดยไม่ต้องถอดหมวก และยังให้การปกป้องบริเวณคางเช่นเดียวกับแบบเต็มหน้าอีกด้วย แต่อย่างไรก็ตามหมวกชนิดนี้ยังมีมาตรฐาน 2 แบบได้แก่ –P ซึ่งแปลว่าออกแบบให้ปกป้องบริเวณคาง กับ –NP แปลว่าไม่ได้ออกแบบเพื่อรองรับบริเวณคางนั่นเอ

 

 

 

 

 

 

 

 

แบบครึ่งใบ

มีลักษณะครอบเพียงด้านบนของหัวเท่านั้น ซึ่งเป็นส่วนที่หน่วยงานมาตรฐานทั้ง SNELL และ DOT กำหนดเป็นขั้นต่ำสุดสำหรับผ่านมาตรฐาน โดยหมวกชนิดนี้ได้รับความนิยมช่วงยุค 1960 ปัจจุบันหลายหน่วยงานในต่างประเทศยกเลิกมาตรฐานความปลอดภัยสำหรับหมวกชนิดนี้แล้ว เนื่องจากไม่สามารถปกป้องส่วนท้ายทอยซึ่งมีความสำคัญได้

 

 

 

 

--------------------------
วิธีเลือกหมวกกันน็อก

รู้ไหมว่าหมวกกันน็อกที่ไม่พอดี อาจสร้างปัญหาให้กับผู้สวมใส่ได้ ทั้งอาจเลื่อนไปมาจนถึงขั้นหลุดออกจากหัวเราเมื่อเกิดอุบัติเหตุเลยล่ะ รู้อย่างนี้แล้ว จะอยู่เฉยได้ยังไง ถ้าอย่างนั้นเรามาดูวิธีการเลือกหมวกกันน็อกที่เหมาะกับเรากันดีกว่า

 

 

1. เลือกหมวกให้พอดีกับหัว

หมวกกันน็อกก็เหมือนเสื้อผ้าชิ้นหนึ่งที่ต้องการความพอดี ดังนั้น เราจึงจำเป็นต้องรู้ขนาดของหัวเราด้วย โดยจะวัดจากเส้นรอบวงตรงหน้าผากแล้วนำขนาดของเราไปเทียบกับตารางขนาดของผู้ผลิตหรือป้ายระบุขนาดที่ติดบนหมวกได้เลย ซึ่งเรื่องของขนาดหมวกถือว่ามีความสำคัญมากทีเดียว แต่ถึงแม้ว่าเราจะวัดขนาดมาดีแค่ไหนก็ใช่ว่าจะใส่ได้พอดีทันที ดังนั้น เราควรทดสอบมันสักหน่อย เพื่อให้ได้ของที่ดีที่สุดนั่นเอง และการทดสอบก็ไม่ได้ยากเลย เพียงแค่ทำขั้นตอนเหล่านี้ สวมหมวกและรัดคางให้เรียบร้อย จากนั้นลองขยับหัวไปมาพอประมาณ ถ้าหมวกพอดี เราจะรู้สึกว่าหมวกไม่ขยับ แต่ถ้าหมวกขยับตามล่ะก็ ลองเลือกหมวกที่มีขนาดเล็กลงเลย ใช้มือดันหลังหมวก เกร็งคอไว้เล็กน้อย แล้วลองนำนิ้วก้อยสอดขึ้นไปบริเวณหน้าผากดู ถ้าหากสอดเข้าไปเต็ม ๆ ได้ก็ควรเลือกใบที่เล็กลงเช่นกัน เพราะช่องว่างระหว่างหน้าผากกับหมวกที่มากเกินไปจะทำให้เกิดการกระแทกขึ้น ปรับสายรัดคางให้แน่น จับหมวกกันน็อกให้มั่นแล้วลองดึงขึ้นลง ถ้าหากรู้สึกว่าหมวกเลื่อนขึ้นลงตามแต่หัวเราไม่ขยับตาม แปลว่าหมวกอาจไม่พอดี เพราะหมวกลักษณะนี้อาจหลุดได้หากเกิดอุบัติเหตุ

 

2. น้ำหนักกับกระจกบังลมก็สำคัญ

ทั้งสองอย่างนี้เป็นสิ่งที่ต้องคำนึงถึงต่อมาเพราะน้ำหนักหมวกที่พอดีจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการขับขี่ของเราอย่างชัดเจน โดยลดอาการเมื่อยล้า เพิ่มความคล่องแคล่วในการหันมองทิศทางต่าง ๆ ส่วนกระจกบังลมก็ควรเปิดได้ง่าย แข็งแรง ยืดหยุ่น ในบางรุ่นก็สามารถป้องกันฝ้าได้ ซึ่งมีประโยชน์มากทีเดียว

 

3. ถอดออกได้รวดเร็วหลังประสบเหตุ

หมวกกันน็อกที่ถอดออกได้รวดเร็วมีความจำเป็นมากเมื่อเกิดอุบัติเหตุ เพราะเมื่อมันได้ทำหน้าที่ปกป้องเราไปแล้ว ก็ถึงเวลาของเจ้าหน้าที่พยาบาลที่จะมารับช่วงดูแลเราต่อ ซึ่งหากเกิดอาการบาดเจ็บสาหัสจนถึงขึ้นต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ หมวกกันน็อกที่ถอดได้เร็วจะช่วยชีวิตนักบิดได้จริง ๆ โดยมาตรฐาน SNELL บังคับให้หมวกสามารถถอดโดยผู้อื่นภายใน 30 วินาทีด้วย ดังนั้น เมื่อเลือกหมวกก็ควรคำนึงถึงจุดนี้ด้วยเช่นกัน

 

4. ห้ามใช้หมวกกันน็อกใบเดิมหลังจากกระแทกหรือเกิดอุบัติเหตุแล้ว

เป็นข้อหนึ่งที่หลายคนไม่รู้เกี่ยวกับหมวกกันน็อก เนื่องจากว่าบางครั้งเราไม่เห็นความเสียหายที่เกิดขึ้นภายในหมวกนั่นเอง หมวกกันน็อกส่วนใหญ่ใช้โฟมเป็นวัสดุซับแรงกระแทก ซึ่งเมื่อโฟมได้รับแรงกระแทกแล้วจะไม่คืนรูปกลับมาเหมือนเดิมจึงไม่สามารถปกป้องหัวของคุณได้อีกแล้ว ดังนั้น เมื่อหมวกได้ทำหน้าที่ปกป้องหัวของคุณแล้ว ก็ควรเปลี่ยนใหม่เสีย อย่าใช้ซ้ำด้วยความเสียดายเลยนะ

 

5. ถอดมาทำความสะอาดได้

หมวกกันน็อกเป็นเหมือนเสื้อผ้าที่สัมผัสกับร่างกายเราโดยตรง คิดดูว่าเมื่อเราขับขี่ไปบนถนนที่สภาพอากาศแสนจะร้อนระอุ เหงื่อหรือฝุ่นต่าง ๆ ก็จะสะสมอยู่ภายในหมวก คุณจึงควรทำความสะอาดหมวกบ้างเช่นเดียวกับการซักเสื้อผ้า เพื่อให้ง่ายจึงควรมองหาหมวกกันน็อกแบบที่สามารถถอดส่วนต่าง ๆ เช่น ผ้าซับใน หรือกระจกบังลม ออกมาล้างทำความสะอาดได้ ซึ่งนอกจากจะสะอาดแล้วยังเพิ่มอายุการใช้งานของหมวกอีกด้วย

 

6. หมวกกันน็อกก็ไฮเทคได้

เทคโนโลยีเองก็ไปได้ทุกทีจริง ๆ ไม่เว้นแม้แต่หมวกกันน็อก ซึ่งนักบิดหลายคนมีความจำเป็นต่างกันไป เช่น ต้องคอยคุยวิทยุกับเพื่อนเพื่อตามก๊วนให้ทัน หรืออาจจะฟังเสียงจากระบบนำทางก็เป็นได้ ผู้ผลิตหมวกกันน็อกหลายรายจึงผลิตหมวกติดตั้งอุปกรณ์รับสัญญาณเสียงหลายแบบ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ขับขี่ในปัจจุบัน ทั้งนี้บรรดานักบิดจึงควรเลือกหมวกหรืออุปกรณ์ที่ออกแบบโดยคำนึงถึงความสะดวกและปลอดภัยมาแล้วนั่นเอง

 
 
 
 

 

 

---
ขอบคุณที่มา kapook.com และ Life & Kustom
 


Share   Like
Comments