A-C-01<br>Expired::
A-C-02<br>Expired::
A-C-03<br>Expired::
 
[History]
 
History of American Springer
By Lee
DATE: 2014.09.08
VIEW: 2167
POST: 0

 




 

 

 

เริ่มต้นเดือนกันยายน ด้วยธีม “Springer Spirit” เอาใจสาวกผู้ชื่นชอบและหลงใหลในรถมอเตอร์ไซค์แบบสปริงเกอร์ ซึ่งนอกจากรายการพิเศษที่ได้เชิญพี่ๆ ที่ชื่นชอบการขับขี่รถ Springer ที่หลายคนรู้จักกันเป็นอย่างดี มานั่งพูดคุยถ่ายทอดความรู้ รวมถึงบอกเล่าประสบการณ์การขับขี่ที่ผ่านมาให้ได้ติดตามรับชมกันผ่านทาง HDP Channel บนหน้า Home Page ของ www.hd-playground.com ในเร็วๆ นี้แล้ว... อันดับแรก  HDP จะขอพาทุกท่านไปทำความรู้จักกับประวัติศาสตร์ความเป็นมาของ “American Springer” กันก่อน

 


 

History of American Springer


‘ระบบกันสะเทือน’ เป็นสิ่งที่ทำให้เราขี่รถมอเตอร์ไซค์แล้วไม่รู้สึกว่าเหมือนกับกำลังขี่ท่อนเหล็กติดล้อ อย่างที่พวกเรารู้กันดีอยู่แล้วว่า รถมอเตอร์ไซค์เกิดขึ้นมาจากการนำเอารถจักรยานมาใส่เครื่องยนต์ให้วิ่งได้โดยไม่ต้องออกแรงถีบ ซึ่งในช่วงแรกที่ยังไม่มีระบบกันสะเทือน ขี่จักรยานแล้วเป็นยังไง มอเตอร์ไซค์ในยุคแรกก็เป็นแบบเดียวกัน

สำหรับรถมอเตอร์ไซค์สัญชาติ American ที่เริ่มต้นประวัติศาสตร์มาตั้งแต่ต้นยุค 1900 ก็เช่นกัน ทั้ง HD และ Indian ซึ่งเป็นสองแบรนด์ที่บ้านเรารู้จักกันดี ก็ได้นำเฟรมจักรยานมาติดตั้งเครื่องยนต์ และพัฒนาเรื่อยมาจนเริ่มมีระบบช่วงหน้าแบบ Springer ซึ่งเราจะเห็นได้จากรถมอเตอร์ไซค์ในยุคปี 1910 เป็นต้นมาที่เริ่มมีระบบกันสะเทือนด้านหน้า อย่างทาง HD ก็จะเป็น Springer แบบตะเกียบ 2 คู่ที่มีหลอดสปริงใส่อยู่กับแกนเหล็กพร้อมกระเดื่องด้านล่างเป็นจุดหมุน ส่วน Indian ก็ได้พัฒนาช่วงหน้าเป็นแบบ Leaf Spring ที่ใช้ระบบแหนบแผ่นเหล็กมาเป็นตัวซับแรงกระแทก และได้ทดลองเอาระบบแหนบมาเป็นระบบกันสะเทือนด้านหลังเป็นครั้งแรกในปี 1913 ซึ่งเรียกว่า Cradle Spring Frame โดยความแตกต่างของช่วงหน้าของทั้ง 2 ยี่ห้อนี้ นอกจากรูปแบบของตะเกียบและระบบซับแรงที่แตกต่างกันแล้ว ก็ยังมีจุดหมุนของกระเดื่องที่ทาง HD จะมีแกนล้ออยู่ด้านหน้า ส่วน Indian จะมีตำแหน่งแกนล้ออยู่ด้านหลังของชุดแขนกระเดื่อง

 

 

 

1911 Harley-Davidson 7D Twin

 

 

Indian Cradle Spring Frame

 

 

 

ระบบช่วงหน้าแบบ Springer ของ HD และ Indian ถูกพัฒนาขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งตะเกียบหน้าในรถยุค 1920 ก็จะดูแข็งแรงกว่ายุคเก่า แต่ก็ยังคงโครงสร้างของระบบช่วงหน้าที่ไม่ได้แตกต่างไปจากเดิมมากนั้น จนมาถึงยุค 1930 ที่เราจะเริ่มเห็น Springer Frontend ที่ดูคุ้นตา อย่างทางฝั่ง HD ก็จะนำเอาช่วงหน้า Springer มาใช้กับรถเครื่องยนต์แบบ Flathead  จนกระทั่งในปี 1936 ที่ HD ได้เปิดตัว EL รถที่ใช้เครื่องยนต์ในแบบ Knucklehead เป็นครั้งแรก โดยเป็นการเปลี่ยนจากระบบเครื่องยนต์ที่ใช้ระบบ Side Valve มาเป็นเครื่องยนต์ในแบบ OHV (Overhead Valve) และปรับปรุงหน้าตาของ Springer Frontend ให้ดูทันสมัยขึ้น และเป็นต้นแบบของช่วงหน้าแบบ Springer ของ HD นับแต่นั้นเป็นต้นมา

 

 

 

1936 Harley-Davidson EL

 

 

1936 Harley-Davidson Knucklehead

 

 

1937 Harley-Davidson Knucklehead

 

 

1941 Harley-Davidson Knucklehead                                    1947 Harley-Davidson Knucklehead

 

 

 

ทางฝั่ง Indian ก็มีการพัฒนาระบบช่วงหน้า Leaf Springer ให้แข็งแรงขึ้น โดยเอามาใช้กับรถทุกรุ่นของ Indian อย่างตัว Scout, Chief และ Four จนมาถึงปี 1934 ที่ Indian ได้พัฒนาระบบกันสะเทือนหน้าแบบใหม่ที่เรียกว่า Girder Fork ซึ่งเปลี่ยนระบบจากแหนบแบบเดิมที่เคยใช้ มาเป็นชุดสปริงที่สร้างระบบกระเดื่องขนาดใหญ่มาไว้ด้านบนหัวเฟรม แทนที่จะมีจุดหมุนอยู่ด้านล่างบริเวณแกนล้อเหมือนกับรุ่นอื่นๆ โดย Indian ได้นำระบบนี้มาใช้กับรถ Sport Scout เป็นครั้งแรก และเริ่มเอาช่วงหน้า Girder Fork มาใช้กับ Indian Chief ในปี 1946 ส่วนระบบกันสะเทือนหลัง ก็ได้มีการพัฒนาระบบ Sprung Frame ขึ้นในปี 1940 โดยเป็นการนำกระบอกสปริงมาติดตั้งที่เฟรมด้านหลัง เพื่อทำหน้าที่ดูดซับแรงกระแทกที่มาจากแกนล้อ และถูกนำมาใช้กับรถ Indian Chief และ Indian Four ซึ่งนับว่าแตกต่างจากรถยี่ห้ออื่นในยุคเดียวกันที่ยังคงเป็นระบบเฟรมแบบ Hard Tail

 

 

 

 

1935 Indian Chief

 

 

 

1938 Indian Chief

 

 

1940 Indian Sport Scout

 

 

 

เนื่องจากระบบช่วงหน้าแบบ Springer ที่ใช้สปริงเป็นตัวรับแรงกระแทก ก็ย่อมที่จะเด้งตามชื่อสปริง การทำให้เกิดความหนืดในระบบสปริงเป็นสิ่งสำคัญ ในยุค Knucklehead ของทางฝั่ง HD จึงได้มีการคิดค้นระบบที่เรียกว่า Friction Damper ซึ่งเป็นระบบที่ไม่มีความซับซ้อนใดๆ เพียงแค่ใช้แผ่นเหล็กพร้อมกับน็อตที่บีบอัดให้เกิดความหนืด นำไปติดตั้งเข้ากับระบบสปริงเกอร์ เมื่อเวลาต้องการทำให้สปริงเด้งน้อยลง ก็บีบหัวน็อตทั้งสองข้าง หรือคลายออกเมื่อต้องการให้สปริงให้ตัวได้มากขึ้น

จนมาถึงปี 1946 HD ได้แนะนำระบบ Springer Frontend ตัวใหม่ที่ถอดเอาตัว Friction Damper ออกแล้วเปลี่ยนมาเป็นระบบกระบอกโช้คที่เรียกว่า Monroe Shock Absorber เข้ามาแทนที่ ซึ่งทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานของช่วงหน้าดีขึ้นกว่าเดิมมากเพราะไม่ต้องคอยบิดลูกบิดให้เกิดความหนืด แต่ใช้หลักการหักล้างของสองสิ่งอย่างตัว Spring ที่เด้ง และ Shock Absorber ที่หนืดมาทำงานร่วมกัน

 

 

 

กระบอกโช้คหน้าแบบ Monroe Shock Absorber

 

 

ในปี 1948 เป็นจุดเริ่มต้นของเครื่องยนต์ในยุคถัดไปของ HD อย่างเครื่องยนต์ Panhead และถือว่าเป็นจุดสิ้นสุดของระบบกันสะเทือนหน้าอย่าง Springer ซึ่งในปีนี้ HD ได้แนะนำรถในรหัส FL ในขนาด 74 ลบ.นิ้ว และ EL ที่มีขนาด 61 ลบ.นิ้ว โดยทั้งสองรุ่นก็ยังคงใช้ระบบ Springer Frontend พร้อมด้วยกระบอกโช้คหน้าแบบ Monroe Shock Absorber

พอเริ่มเข้าสู่ปี 1949 ก็หมดยุคของ Springer ที่ใช้ในรถ HD โดยมีระบบ Hydra Glide หรือช่วงหน้าแบบ Telescopic กระบอกโช้คพร้อมสปริงภายในเข้ามาแทนที่ ซึ่งในปีเดียวกัน ทางฝั่ง Indian ก็ได้มีการนำเอารถที่มีระบบช่วงหน้าแบบ Aerodraulic ซึ่งเป็นระบบ Telescopic เช่นเดียวกันมาใช้กับรถรุ่นเล็กที่นำเข้ามาจากฝั่งอังกฤษอย่าง Scout, Arrow, Warrior และนำมาใช้กับ Chief ในปี 1950 จนกระทั่งปิดตัวลงในปี 1953

 

 

 

1949 Harley Davidson EL 61 cubic-inch, 1000cc Hydra Glide.

 

 

1950 Indian Chief

 

 

เรื่องราวของระบบกันสะเทือนหน้าแบบ Springer จึงได้หายไปจากสายการผลิตของรถทางฝั่ง American และต้องรอกันอีกหลายสิบปีถึงได้มีการนำกลับมาทำใหม่อีกครั้ง...

 

 

 

 

 

---
เขียนโดย Lee
ข้อมูลจาก barnstorm.us | erwins-heritagespringer.nl | flyingsnail.com
 


Share   Like
Comments