A-C-01<br>Expired::
A-C-02<br>Expired::
A-C-03<br>Expired::
 
[Interview & Review]
 
Pan Shovel (Part 1)
By HDP PR
DATE: 2011.03.21
VIEW: 2153
POST: 0


 
ชื่อร้าน Pan Shovel
สถานที่ 394/1 ลาดพร้าว 94 แขวงวังทองหลาง เขตวังทองหลาง กรุงเทพฯ 10310
เบอร์ติดต่อ 084-663-2306, 081-913-2406
วันที่เปิดทำการ วันจันทร์-เสาร์
วันหยุด วันอาทิตย์ และ วันหยุดราชการ
เวลาทำการ 9.00 - 18.00 น.
ชื่อเจ้าของกิจการ พี่ต้อย และ พี่หนิง
การให้บริการ ซ่อมรถจักรยานยนต์ Harley-Davidson และรับสร้างรถ Custom Bike

เชื่อได้ว่าหลายๆคนคงเคยผ่านย่านศรีวรา เลยหน้าทางเข้า Town In Town มาซักเล็กน้อย จะสังเกตุเห็นร้านที่ทาสีแดงเด่นเป็นสง่าอยู่ด้านซ้ายมือ ถ้ามาจากแยกรามคำแหง 39 โลโก้ Fat Mexican พร้อมสีสรร Red & Gold ยิ่งทำให้อาคารหลังนี้ดูแตกต่างจากอาคารหลังอื่นๆที่อยู่ใกล้เคียงกัน เมื่อแหงนหน้ามองป้ายหน้าร้านจะเห็นชื่อว่า Pan Shovel พร้อมกับรถมอเตอร์ไซค์ทั้งรุ่นใหม่และเก่าจอดคละกันบริเวณชั้นล่างที่เป็นทั้งส่วนซ่อมรถและ Show Room ส่วนชั้นบนจะเห็นร้านอาหารแบบ Open Air ที่จำหน่ายอาหารตามสั่งและเครื่องดื่ม

ร้านแห่งนี้เพิ่งเปิดตัวในช่วงต้นปี 2008 ถึงแม้จะเป็นร้านใหม่ แต่ผู้บริหารของ Pan Shovel แห่งนี้ เป็นผู้ที่คร่ำหวอดในวงการ HD เมืองไทยมาตั้งแต่ยุคเริ่มแรก พร้อมประสบการณ์ที่คลุกคลีกับรถ HD ในอเมริกามาอย่างยาวนานถึง 22 ปี เมื่อผ่านพ้นช่วงวิกฤติที่สุดของชีวิตมาได้ พี่ต้อย จึงตัดสินใจเปิดร้านซ่อมและโมดิฟายรถ Harley-Davidson พร้อมกับ พี่หนิง ที่ดูแลในส่วนของงานเหล็ก ทั้งการสร้างเฟรมและชิ้นส่วนประกอบต่างๆ
เย็นย่ำวันฝนไม่ตกอย่างนี้ HDP จึงขออนุญาตพี่ต้อยและพี่หนิง เข้ามาจัดทำคอลัมน์แนะนำร้านแห่งนี้ให้เพื่อนๆได้รู้จักกันมากยิ่งขึ้นครับ

 

พี่ต้อยเริ่มขี่มอเตอร์ไซค์ตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ
เอาขี่มอเตอร์ไซค์ หรือว่าขี่Harley.. อืม.. ก็เริ่มมาตั้งแต่อายุ 14 โน้น ซูซูกิ A100 ตั้งแต่สมัยเรียน น่าจะซัก 40 ปี ประมาณนั้น ก็เริ่มต้นขี่จาก A100 แล้วก็สมัย พวกเดสโม แต่ว่าไอ้ตรงโรงเรียนปานะพันธุ์ นี่แหละ ที่ทำให้เข้ามาพัวพันกับชีวิต Harley แล้วก็ตอนนั้นในหลวงเสด็จบ่อยใช่มั้ย เพราะว่า ปานะพันธุ์ อยู่ในพระบรมราชูปถัมป์ ในหลวงนี่ท่านก็มาบ่อย รถนำขบวน เราก็ติดใจตั้งแต่ตอนนั้น นั่นก็คือจุดเริ่มต้น

ในสมัยนั้นพอขี่มาได้เรื่อยๆ ก็เริ่มเล่นรถใหญ่ขึ้น?
ไม่มีโอกาส มีโอกาสก็เล่นจากพวกรถของเพื่อนกับของพี่ พี่นี่ก็คือแบบลูกลุงเนี้ยเป็นทหาร แล้วก็ขี่AJ ขี่ Matchless แต่คุณพ่อของผมเป็นนักบิน ขี่ Matchless ขี่ AJ ขี่ Triumph แต่ตอนนั้นเราก็ยังเด็ก แต่ว่ารถใหญ่ไม่ได้มีโอกาสเป็นเจ้าของ จนไปเรียนอเมริกา

 

ก็คือไปเรียนที่โน่น แล้วก็ได้ไปแตะพวก Harley ที่โน่น
ก็คือไปเรียนแล้วก็ไปเก็บเงินซื้อ เพราะอยากจะซื้อตั้งแต่ตอนอยู่เมืองไทยแล้ว ตำรวจนำเสด็จบอกว่าคันละสองแสนกว่าบาท สมัยโน้นสองแสนกว่าบาทเลิกคิดเลย ไม่มีทางที่จะได้เป็นเจ้าของ ก็พยายามจะหาลู่ทางไปอเมริกา เพื่อที่จะไปซื้อ Harley ขี่

แต่ก็ไปเรียนด้วย
ก็คือพยายามหลอกพ่อเราให้ส่งไปอเมริกาซะที เราก็จะได้ไปเก็บตังค์ซื้อ นี่คือเรื่องจริงนะ แล้วไปเนี่ยผมก็ไปเก็บเงินจริง ๆ ไปซื้อ เก็บเงินตั้งปีนึง ก็ไปเรียน ผมไปประมาณปี 72 เอ๊ะ 72 นี่พ.ศ.อะไร?
สมมุติ 14 ตุลา เป็นปี 71 พอ 72 ก็ไป ไม่ได้หนีอะไรก็คืออยากจะไปอยู่ที่อเมริกา เป็นเจ้าของ Harley ซักคัน ไปใช้เวลาอยู่เป็นปี เก็บเงิน

 

ไปที่โน่นคือไปเรียนซ่อมรถ Harley ด้วยหรือเปล่า
ไม่ ผมไปเรียน Automotive Engineer จังหวะเรียนไป ผมก็ไปดูร้าน Harley ไปดูเพื่อที่จะซื้อ จริง ๆ แล้วมันก็คงเป็นรุ่นสปอร์ตสเตอร์ ไฝ่ฝันมาตั้งแต่ไปยืนดูหนังสือที่เซ็นทรัล มันจะมีหนังสือฝรั่ง สปอร์ตสเตอร์ นี้ใช่เลย เพราะชอบถังน้ำมัน ไปยืนดูที่นู่นอยู่ปีนึง ก็เก็บเงินไปด้วย เจ้าของร้านเค้าสนิทกับเรามาก ๆ จนในที่สุด มันก็พูดให้เราเปลี่ยนใจ ว่าอย่าไปเล่นเลย สปอร์ตสเตอร์ ให้มาเล่น Big Twin ดีกว่า

ตอนนั้นพี่ต้อยอยู่ที่ไหน
ตอนนั้นอยู่โอกลาโฮมา ตอนนั้นยังไม่มี Electric Start ต้อง Kick อย่างเดียว คันแรกผมก็ 73 Super Glide รถเกือบใหม่เลยนะ เพราะว่าตอนผมไปมัน 72 ใช่มั้ย เก็บเงินอยู่ ก็กลายเป็น 73 พอ 74 ผมก็ไปซื้อรถ 73 ตอนนั้นก็ Kick อย่างเดียว

ซื้อมาคันเท่าไหร่
ตอนนั้นซื้อมา 1,500 หรือ 1,800 เหรียญ Second Hand เพราะจำได้ว่ารถมือใหม่เลยเนี่ยมันแค่ 2,400 เหรียญ
พี่หนิง: ตอนนั้นคูณ 25 บาท หรือเปล่า
ยัง ๆ ยังไม่ 25 บาท เพิ่ง 25 บาท ตอนปลาย ๆ ตอนเรียนหนังสือ มัน 20-22 บาท เรียนไป แล้วก็สอบตกไป เพราะว่าอาจารย์ไม่ชอบ อาจารย์บอกว่าตั้งแต่สอนหนังสือมา เด็กต่างชาติโดยเฉพาะไทยแลนด์ นักเรียนไทยไม่มีใครผมยาว ไม่มีใครขี่ Harley มาโรงเรียน บอกคุณเป็นคนแรกที่นอกคอก อันนี้จำได้ดี เราก็บอกว่ามันไม่ผิดกฎ ขี่รถมาโรงเรียน ไว้ผมยาว ก็ตรงนั้นคือเป็นการเริ่มชีวิตว่า เอ๊ะทำไมพวกนี้มันไม่ชอบคนขี่ Harley คือ Harley ที่โน่น ไลฟ์สไตล์ของที่โน่นกับที่นี่มันต่างกัน อันนี้ไม่รู้นะ เท่าที่ผมสัมผัสมา

 

พอเรียนจบ Automotive ก็ไปเทรนด์เป็น Technician ของ Harley?
คือไอ้คนที่ผมซื้อรถจากเค้าครั้งแรกเนี่ยนะ ที่ผมไปยืนดูเนี่ยนะ มันก็กลายเป็นสนิทกับเค้า ก็เลยพอระหว่างเรียนผมก็ไป Part Time อยู่ที่โน่น พอจบมาก็เลยไปทำอยู่ที่โน่น เพราะทำที่ Harley Dealer เนี้ย คุณจะต้อง certify คือคุณจะต้องมีใบผ่านว่า คุณนี่ซ่อม Harley เป็น ทางดีลเลอร์ก็จะต้องส่งคุณไปเรียน ส่งคุณไปสอบ สรุปแล้วก็ผมก็ใช้ชีวิตของผมอยู่ที่ดีลเลอร์ ที่ Milwaukee แล้วก็ Dealer ไปๆ มาๆ

 

ก็เรียกได้ว่าอยู่ในแวดวง
ก็สังคมที่นู่นพวกที่ขี่มอเตอร์ไซค์มันจะไม่เหมือนของที่นี่ แต่ว่าแบบพวกเราก็มี ไม่ใช่ว่าไม่มีเลย ที่ผมพูดถึงจะเป็นส่วนนึงนะ คือในส่วนย่อย ๆ ของพวกเราก็มี อย่างการใช้ชีวิตแบบ Biker Life Style มันจะไม่เหมือนกัน พวกอเมริกามันขี่ไกล ขี่ทั้งวัน ขี่ทุกวัน แต่ถ้าพวกทางยุโรปเนี้ย มันจะซัดอย่างเดียว เพราะมันมี Autobahn เคยคุยกับพวก Brother Bandidos เรา มันก็ไม่ค่อยสนใจชอปเปอร์เท่าไหร่ คือสรุปแล้วเนี่ย อเมริกา เอเชีย หรือว่ายุโรป จะคนละ Life Style ทีนี้เราก็ต้องพยายาม เค้าเรียกอะไรล่ะ หาจุดตรงกลาง เพราะเราจะใช้ชีวิตแบบนี้ หรือทางนี้ ทางนี้ มันไม่ได้ ก็ต้องให้อยู่ตรงกลาง เพื่อที่เราจะได้เข้าใจทุก Style ในโลก มันก็ไม่ใช่ง่ายเหมือนกัน พอมาคบกับพวกนี้ คือ มันก็ไม่เหมือนกัน

 

สไตล์แต่ละคนไม่เหมือนกัน
มันอยู่ที่ตัวคน และเค้าเรียกว่าอะไรล่ะ ภูมิประเทศ หรือว่าถนนของบ้านเค้า ก็เป็นอย่างไอ้กัน โอ้โห ขี่ทุกวัน ขี่ทั้งวัน

 

แล้วพี่หนิงหล่ะครับ ขี่มานานหรือยัง
น่าจะประมาณอายุซัก 21 น่าจะเกือบ 20 ปีได้แล้วนะ ก็เป็น Electra Glide Shovel รุ่นแรก ๆ ตอนนั้นยังไม่รู้จักพี่ต้อยนะ ผมขี่ ผมซื้อมาก็ไม่รู้จักแก ซื้อมาสองคัน แล้วก็พอวันนึงได้เจอกัน พอเจอกันเนี่ย พอซ่อมรถด้วยกัน แล้วแกก็จับเราขี่ด้วยกัน อย่างเมื่อก่อนไม่เคยขี่กับใคร ขี่คนเดียว

 

แล้วตอนนั้นพี่หนิงซ่อมเอง หรือให้พี่ต้อยซ่อมให้
กว่าจะเจอพี่ต้อย ก็คือทำเอง วิ่งไป ดับไปเรื่อย ๆ แต่พอให้แกทำให้ก็โอเคมันวิ่งได้จริง พอวิ่งได้จริงก็เริ่มขี่ด้วยกันทุกวันละ ทุกคืนต้องขี่เที่ยวกัน ก็ขี่กันไปสองคนนั่นแหละ กลับมาเช้า หกโมงเช้า กลับมาพระบิณฑบาตทุกเช้า ทุกวันจนเค้าไม่สบาย

 


แล้วตอนนั้นพี่ต้อยทำที่ไหน
ที่บ้าน คือจริง ๆ แล้วเนี่ย บ้านกรุงเทพฯ มันก็คือ เหมือนเป็น hobby ไซต์ไลน์ แต่งานประจำของผมก็คือ บีเอ็ม ตอนนั้นผมอยู่ที่ศูนย์บริการ ผมจะดูแลศูนย์บริการอยู่ ตอนกลับมาใหม่ๆ ผมทำที่ Suzuki แต่ผมก็ไม่เคยทิ้ง Harley เพราะว่าผมก็ยังขี่อยู่ ผมก็จะจับ Harley ตอนกลางคืน จาก Suzuki เนี้ย 7- 8 ปี แล้วเจอเค้าจะมาขอซื้อ Panhead สีเหลืองของผม ยังจำได้ แล้วก็ขี่มาด้วยกันจนผมป่วยแล้ว จังหวะเริ่มป่วย ก็เลยได้ไปทำที่ Power

แต่ G-Force ก็ไม่เกี่ยวกันเลยใช่มั้ยครับ
ไม่เกี่ยว G-Force เค้าเป็น Harley ดีลเลอร์ ที่แรกของประเทศไทย แล้วก็พอ G-Force ล้มไป ก็ไม่มี พอไม่มีเนี่ย Power Station เนี่ยก็ยังอยู่ พอหลังจาก Power Station ยังอยู่เนี่ย ก็คุณ Eric คนญี่ปุ่นก็มาเทคโอเวอร์ ตอนแรกมีผมกับ คนอิตาเลี่ยน แต่ Eric ก็มาคว้าไป ก็ขายทิ้งหมด จนดังขึ้นมา ใหญ่ขึ้นมา หลังจากนั้นก็ได้ดีลเลอร์ไป

G-Force แล้วก็มาเป็น Power Station
G-Force นี่ประมาณปี 98 เพราะว่าเขาขายรถยุคแรกให้กับสันติบาล รถปี 98 สิบปีนะ ไม่ปี 98 ก็ปี 97 เพราะว่าเปิดมาแล้วสันติบาลซื้อไป 11 คัน ก็ประมาณ 10 ปีนะ แล้วก็สองปีก็ล่มไป

 

แต่ Jammer นี่ก็คือต่างหากของเค้าไป
Jammer ก็เหมือนกับ Power Station แต่ว่าเค้าก็ทุนหนักหน่อย เพราะว่ามีตังค์เยอะหน่อย เค้าก็เอารถเค้ามาขาย เราก็อย่างนี้ ก๊อกแก๊ก ก๊อกแก๊ก อยู่ด้วยหัวใจ Harley ร้อยเปอร์เซ็นต์ เราก็อยู่ของเราอย่างนี้

 

หลังจากนั้นพี่ต้อยก็ป่วย
ก็ผ่าตัด ตอนผ่าตัดตอนนั้นก็ 50:50 พอผ่าตัดหายกลับมาเสร็จ เค้าก็คงเริ่มอยากจะมี Shop ของตัวเองละ เค้าคงจะเบื่อที่จะต้องมาทำงานประจำ แล้วช่วงที่พี่ต้อยเค้าผ่าตัด ก็กลายเป็นว่าสิ่งที่เค้าเคยสอนผมบ้างอะไรบ้าง ผมก็ทำ ผมก็เริ่มตั้งแต่ทำเครื่อง ลองเครื่อง ก็จนพอเค้ากลับมา หาย แข็งแรงดี เค้าก็บอกผมว่า ทำ Shop กันเถอะ แล้วพอดีผมมาสร้างที่เนี่ย ให้เพื่อนผมเป็นคาร์แคร์พอดี แล้วมันทำได้เดือนเดียว มันเจ๊ง ผมก็เลยเซ้งต่อมันมา เค้าก็ลงตัวที่นี่ ก็คุยกันว่าแยกกันทำคนละส่วน ผมทำเรื่องเฟรม พี่ต้อยเค้าจะทำตั้งแต่เรื่องเครื่องยนต์ขึ้นมา จนถึงแบบการประกอบทั้งหมด มันก็ลงตัวดีนะ เพราะว่าจากประสบการณ์ที่เห็นร้านทำรถมาก็ ผมว่าพี่ต้อยคือคนนึงที่เห็นแล้วว่า เค้าทำได้ดีที่สุดอันดับหนึ่ง

 

แล้วพวกงานเหล็กพี่หนิง เคยทำเรื่องพวกนี้มา
ผมไม่เคย ผมเคยแต่ไปจ้างเค้าทำ เสร็จแล้วพอดูด้วยตาเปล่าเนี่ยมันเบี้ยว แต่คนที่ทำก็ยืนยันว่าไม่เบี้ยว สิ่งที่จะทำให้เค้ารู้ว่ามันเบี้ยวได้คือผมต้องสร้างจิ๊ก ผมก็เมลไปทางอเมริกา ของรายละเอียดเรื่องสร้างจิ๊ก พอสร้างเสร็จ ปรากฏว่าลองเอาเฟรมเค้าขึ้นแล้วมันเบี้ยว ไม่ได้คิดว่าทำมาเป็นอาชีพ แต่ด้วยความแค้น แต่พอเราทำจิ๊กขึ้นมาแล้ว เราก็ทำต่อ มันก็ไม่ได้ยากอย่างที่คิด

 

พี่หนิงก็คือมีพื้นฐานงานเหล็กแล้วด้วย
ผมเป็นโรงงานเหล็ก ทั้งนี้เราก็พอมีความรู้เรื่องเหล็ก เรื่องแสตนเลส พวกนี้ ก็เลยทำไปเพราะว่าอย่างงานเชื่อม งานอะไรพวกนี้ก็ลูกน้องที่โรงงาน มันก็เลยกลายเป็นว่าลงตัวมาสร้างอะไรนี้ได้หน่อย เพราะเรื่องเครื่องนี่พี่ต้อยเค้าจะทำได้ เหมือนกับว่า คือสมัยนี้มันไม่เหมือนกับสมัยก่อน ต้องยอมรับว่าการสั่งของในรถ Harley นี่มันง่ายมาก สมัยก่อนมันยากมาก แทบจะเรียกว่ารถรุ่นเก่าๆ ปีเก่าๆ มันจะไม่เกิด แต่ทีนี้กลายเป็นว่ามันสามารถสั่งได้ง่าย แล้วมันจะยิ่งง่ายไปอีก ถ้าเจอเค้าอย่างเนี้ย จับรถรุ่นเก่า ๆ มาหมด มันกลายเป็นเรื่องง่ายไปเลย จากที่สมัยก่อนคนบอกว่า Panhead Shovel Head มันไม่สามารถขี่ได้จริง ทุกวันนี้ก็คือกรุงเทพฯ ภูเก็ต มันก็ขี่ของมันไปได้

 

อย่างนี้ก็เลยเป็นที่มาของชื่อร้านด้วย Pan Shovel ก็คือเป็นเรื่องที่ว่าเราชอบในรถสไตล์นี้อยู่แล้ว
คือจากงานหรือว่าจากประสบกาณ์ที่มันผ่านมาในเมืองไทยเนี่ย จริง ๆ แล้ว ผมเนี่ยรัก แล้วก็ถนัด แล้วก็ชอบทางด้าน High Performance มากที่สุด แล้วผมก็ชอบ ผมก็ถนัด ผมก็ชอบทำ ผมก็ชอบคิด แต่พอมาถึงตรงนี้ มันกลายเป็นว่าเรามาเจอแต่งานตรงนี้เนี่ย มาเจอ Panhead Shovel Head Knuckle Head Sportster มันเลยไม่มีเวลาที่จะกระโดดไปทางด้านที่เราชอบจริง ๆ ก็ยังคุยกับหนึ่งเค้าอยู่ทุกวันนี้ว่า เดี๋ยวถ้าตรงนี้ลงตัวเนี่ยนะ เดี๋ยวเรา เริ่มทำรถด้านถนัดกันดีกว่า ตรงนี้รูปแบบคล้าย ๆ ว่าเราก็ต้องทำไปเรื่อย ๆ แต่ก็คือว่าไม่ใช่ว่าไม่ชอบนะ ก็คือชอบแล้วกลายเป็นเรื่องที่เราถนัด ก็คือว่า Panhead Shovel Head ถ้าจะทำจริง ๆ
มันไม่ไหวละ หลัง ๆ มันเริ่มมาเยอะซะจนเราหลับตาก็เห็น จากที่เมื่อก่อนไม่ค่อยได้เห็นรถพวกนี้วิ่ง ก็เลยคุยว่าเราน่าจะหา จุดเด่น ความสามารถของเค้าเนี่ย คืออย่างพวกเอา Super Charge มาลงซึ่งเมืองไทยก็ยังไม่ค่อยมี
คือเน้นไปทางเครื่องยนต์มากกว่า ทางด้านรูปร่างหน้าตา เราอยากจะทำเป็นข้อสอง ข้อหนึ่งเนี่ยคือเราอยากจะทำ High Performance

 

แต่ว่ายังอยู่ในขอบเขตของ Panhead Shovel Head หรือว่ากระโดดไป Evo Twin Cam ด้วย
จริงๆ แล้วเนี่ย มันต้องได้ แต่ว่าถ้าจริง ๆ แล้วเนี่ย ของ High Performance มันเป็นสิ่งท้าทายซึ่งผมชอบ มันมันดี ประมาณว่าอย่างเครื่องสุดท้ายที่เราทำอยู่เนี้ย งัด Magneto มาตัวนึงไม่รู้จะใช้งานได้เปล่า นั่งคิดกันอยู่สองคืนสามคืน สี่คืน จนในที่สุดก็รอด เสร็จ ก็คิดว่าจะออกถนนกันเลยมั้ย คือให้พวกเราเห็น เราก็อยู่ในตลาดตรงนี้ ในสังคมตรงนี้อยู่แล้ว แต่ที่ใจรักจริง ๆ คือประเภท Quarter Mile ชอบประเภทต้องขี่ให้พัง ถ้าไม่พังไม่สนุก

 

ที่บ้านเรามี?
มีนะ แต่ผมก็ไม่เคยเข้าไปดูนะ แต่เข้าไปดูในเว็บเนี่ยนะ ดูท่าทางแล้วมันก็เข้าท่าดีแต่ว่าเราไม่อยากจะเข้าไปดูของจริง เดี๋ยวมันจะใจสั่น
เค้ารู้สึกว่าเค้าแข่งที่นี่กัน เพราะว่า Harley แรงม้ามันเยอะกว่าครึ่งนึง แล้ว Harley ที่เข้าแข่งมันน้อย มันเลยเอาอัตราเฉลี่ยของ Harley มาเฉลี่ย ถ้า Harley มันเยอะจริงมันก็เป็นรุ่นนั้น

 

ใช่ที่นครชัยศรีหรือเปล่า
ก็มีนะ รังสิตคลองห้า แต่คลองห้ารู้สึกว่าได้ยินข่าวว่ามัน ตอนนั้นผมชอบมาก แข่งกับเพื่อนผม ตั้งแต่สมัยโน้น มันเป็นคาวบอยสุด ๆ แต่ว่าเราก็ทิ้งมา ทิ้งมานาน ตั้งแต่กลับมาเมืองไทย

 

พูดถึงที่เราทำเฟรม ถ้าเทียบกับเมืองนอกแล้ว
ถ้าพูดถึงทางด้านโครงสร้างหมายถึงว่าการเชื่อมหรือการอะไรก็ดี เครื่องมือ มันก็คงไม่ได้ห่างกันเท่าไหร่ แต่ว่ามันก็ไปด้อยกว่าเค้าตรงที่ว่าของเค้ามันทำเยอะ คำว่าเพอร์เฟคมันก็มาจาก ผิดพลาดกันเยอะๆ ตัวที่เราเห็นอยู่นี่ก็อาจจะทำมาร้อยๆ พันๆ ตัว ของเรานี่อาจจะไม่ถึงร้อย เราอาจจะมีเพี้ยนบ้างหน่อยนึง แต่เราก็ไม่ได้ว่ามันจะ Reject แต่ว่าเราก็ต้องมาจับจุดว่า อะไรที่เราจะต้องแก้ไขและทำให้ใกล้เคียงกับคุณภาพของทางโน้นเค้า แต่ว่าคน วัสดุ เครื่องมือ ก็พอ ๆ กัน เพียงแต่ว่าจำนวนที่ทำ เหมือนกับว่าคุณทำอะไรของคุณอยู่ทุกวัน ทุกวัน มันแน่นอนกว่า คุณก็จะชำนาญ ของที่ออกมามันก็ต้องดีขึ้น แต่นี่จำนวนเรายังไม่ถึง เทียบกันยาก

 

พวกเนื้อเหล็กของเราถ้าเทียบกับอเมริกา เราก็สู้เค้าได้?
ใช่ เพราะว่าเนื้อเหล็ก เราสามารถที่จะเลือกได้ ถ้าเหล็กเนี่ย เราสามารถที่จะกำหนด Strength ของเหล็กได้ หรือว่าลักษณะเหล็กได้ อย่างเหล็กที่เราใช้ทำเนี้ย จะเป็นเหล็กที่ไม่มีข้อต่อ ถ้าเรื่องเหล็กนี่ต้องคุยกับคนนี้ แต่ผมก็เรียนรู้จากเค้าเยอะเหมือนกัน เรื่องเหล็ก อย่างไอ้ตู้เชื่อมที่เราใช้อยู่เนี่ยนะ คุณภาพเราก็ทัดเทียมกับเมืองนอกเค้าแหละ เพียงแต่จำนวน เรายังไม่ได้ทำเป็นร้อยเป็นพัน แต่ว่าMaterial อะไรเราก็คิดว่าเราพอสู้เค้าได้
เพราะเหล็กที่ใช้ก็ไม่ใช่เหล็กบ้านเรา เป็นเหล็กจากเมืองนอก หนา สเป็ก 4 มิลเท่าเมืองนอก เชื่อมสองชั้น เมืองนอกเค้าใช้ Argon เพราะว่ามันเร็ว มันเร็วตรงที่ว่ามันไม่ต้องมานั่งขัด มันจะไม่มีที่เชื่อม แต่ถ้าถามว่าแข็งมั้ย มันแข็ง ถ้าเราเชื่อมอย่างนั้นแล้วเจีย แล้วครอบอีกหนึ่งชั้นปุ๊บเนี่ย อันนั้นก็จะแข็งกว่า

 


To be continue on Part 2...
 

Share   Like
Comments