A-C-01<br>Expired::
A-C-02<br>Expired::
A-C-03<br>Expired::
 
[Interview & Review]
 
First Ride: Sportster 2004 บอกลาอาการสั่นใน Sportster รุ่นเก่าไปได้เลย
By HDP PR
DATE: 2011.03.03
VIEW: 2137
POST: 0


First Ride : 2004 Harley-Davidson Sportster Motorcycles , ในที่สุด Harley-Davidson ได้พัฒนา Sportster รุ่นใหม่ที่ไม่สั่นเหมือนก่อนให้เหมาะกับโลกยุคปัจจุบัน บททดสอบโดย Art Friedman อ้างอิงจาก Motorcycle Cruiser

คุณเคยหงุดหงิดกับเครื่องยนต์ที่สั่นเป็นอย่างมากใน Sportster รุ่นก่อนๆหรือเปล่า ไม่ใช่แค่นั้นครับ เครื่องยนต์ที่สั่นจนเกินไปยังเป็นสาเหตุในการทำให้ส่วนประกอบและน็อตต่างๆในรถหลวมอีกด้วย รวมไปถึงการลดสมรรถนะของรถเนื่องจากอาการสั่นทำให้ไม่อยากที่จะบิดต่อไปทั้งๆที่ยังสามารถเร่งไปได้อีกมาก ความสนุกในการขับขี่ก็ถูกบั่นทอนไปด้วยอาการสั่นที่สะท้านมือขึ้นมาอีกด้วย


เครื่องยนต์รุ่นใหม่ ปรับเปลี่ยนรายละเอียดในชุดครอบต่างๆ ให้ดูทันสมัยและสวยงามยิ่งขึ้น



ที่ผ่านมา นักออกแบบได้คิดหาวิธีลดอาการสั่นที่เกิดจากเครื่องยนต์ขึ้นมามากมาย อย่างการออกแบบเครื่องยนต์วางตรงกันข้ามของ BMW หรือเครื่อง V-twin 90 องศา ใน Moto Guzzi และ Ducati การใช้ระบบ Counterbalancers ภายในเครื่องยนต์อย่าง Yamaha Vertical Twin , Kawasaki V-Twins หรือการใช้ยางรองแท่นเครื่องที่มีมาตั้งแต่ยุค 1960 ซึ่ง Harley-Davidson ใช้กับรถรุ่น FXR และ Dyna มานานนมแล้ว อย่างไรก้อตาม Sportster ทั้ง 883 และ 1200 ตั้งแต่ปี 2003 ลงมา ยังเป็นรถที่ถูกกล่าวถึงเป็นอย่างมากในเรื่องของอาการสั่นของเครื่องยนต์ ทำให้จุดนี้เองเป็นข้อด้อยของ Sportster


 




จนมาถึง Sportster ในปี 2004 ทาง Harley-Davidson ได้ออกแบบระบบเฟรมใหม่ให้มีการนำระบบยางรองแท่นเครื่องมาใช้เพื่อลดอาการสั่นของเครื่องยนต์ในอดีต รวมไปถึงการปรับเปลี่ยนรายละเอียดปลีกย่อยอีกหลายๆจุดซึ่งได้เริ่มต้นขึ้นในปี 2004

 

 



ผมได้ใช้เวลาทั้งวันในการทดลองขี่ Sportster 2004 ทั้ง 4 รุ่นคือ XL883s, XL883C, XL1200R และ XL1200C ซึ่งรุ่นที่ผมใช้เวลากับมันมากที่สุดคือ Sportster 1200 Roadster (XL1200R) ในครั้งแรกที่ผมได้ทดลองขี่เจ้ารุ่นใหม่ปี 2004 นี้ อย่างแรกที่รู้สึกถึงคือ อาการสั่นสะเทือนที่พบเจอมาในอดีตตลอดเวลา 30 ปีที่ผมได้ทดลองขี่รถรุ่นนี้ได้หายไปจนหมด ไม่ต้องคอยเกร็งตัวทุกครั้งที่พยายามจะพาเจ้า Sportster ขึ้นรอบสูงเพื่อต้านอาการสั่น ถึงแม้ว่ารูปลักษณ์ภายนอกแทบทั้งหมดจะยังคงไว้ถึงสไตล์ของ Sportster รุ่นเก่าก็ตาม
 

 

         XL 883C - Custom XL 1200C                                            ถังน้ำมันใหญ่ความจุ 4.5 แกลลอน

ผมเริ่มต้นทดสอบเจ้า Sportster 883 Standard เป็นตัวแรก ถังน้ำมันทรง Peanut ขนาด 3.3 แกลลอน, เบาะนั่งเดี่ยวที่ติดมากับตัวรถ, แฮนด์โค้งต่ำ และพักเท้าแบบ Mid-set สไตล์เดิม ทำให้รู้สึกไม่แตกต่างมานักจากรุ่นก่อน แต่ส่วนสำคัญที่รู้สึกก้อคือ การสั่นของเครื่องที่หายไปซึ่งในรุ่น 883 จะสำคัญกว่ารุ่น 1200 เนื่องมาจากเครื่องยนต์ที่มีขนาดเล็กกว่า ทำให้ต้องใช้รอบสูงกว่าเครื่องตัวอื่น ผมรู้สึกถึงแรงสั่นที่เกิดขึ้นมาจากพักเท้าและแฮนด์เพียงเล็กน้อยเมื่อขึ้นรอบสูง ทำให้การขี่ 883 ตัวนี้สามารถใช้ความเร็วได้เพิ่มขึ้น ซึ่ง Harley ระบุว่าเครื่องยนต์รุ่นใหม่นี้ให้แรงม้าเพิ่มขึ้น แต่ผมรู้สึกว่าแรงขึ้นจากการได้ใช้รอบสูงโดยที่เครื่องยนต์ไม่สั่นซะมากกว่า ระบบคลัชท์ตัวใหม่ได้พัฒนาให้เบาขึ้นกว่าเดิม แต่ไม่ได้เบาจนถึงขนาดขี่ในสภาพรถติดได้อย่างสบาย ส่วนหนึ่งน่าจะมาจากขนาดของปลอกแฮนด์เล็กลงทำให้สามารถกำคลัชท์ได้ถนัดขึ้น เกียร์ว่างหาได้ง่ายขึ้น เสียงการเปลี่ยนเกียร์เงียบขึ้น แม้จะมีเสียงดังนิดหน่อยระหว่างการเปลี่ยนจากเกียร์ 1 ไปเกียร์ 2 ก็ตาม การเร่งเครื่องในรอบต่ำของ 883 มีอาการรอรอบเล็กน้อยอันมาจากขนาดความจุน้อยกว่าเพื่อน
 

ถังน้ำมันทรงคุ้นตาแต่หูยึดถังแตกต่างจากเดิม ขนาดความจุ 3.3 แกลลอน
ถังน้ำัมันขนาด 4.5 แกลลอนในรุ่น Custom ให้คุณขี่ได้ไกลกว่าเดิม
ลายถังน้ำมันเลียนแบบป้ายเหล็กในรถปี 1950 ให้อารมณ์ย้อนยุค

ตำแหน่งการขับขี่ของ XL883s เหมาะสำหรับการขับขี่ในความเร็วสูงและการเข้าโค้งที่รุนแรง ด้วยขนาดล้อหน้า 19 นิ้ว ทำให้สามารถคอนโทรลรถได้ดีกว่า Sportster Custom ซึ่งมีขนาดล้อหน้า 21 นิ้ว และพักเท้ายื่นไปด้านหน้า ซึ่งในตัว Custom ใหม่ จะดีกว่าตัวเก่าอันเนื่องมาจากตำแหน่งพักเท้าร่นเข้าหาคนขี่มาอีก 1 นิ้ว และแฮนด์ทรงโค้งเข้าหาตัวทำให้การควบคุมรถจะดีกว่าตัว Custom รุ่นปี 2003 ลงไป แต่ข้อได้เปรียบของรุ่น Custom น่าจะเป็นถังน้ำมันความจุ 4.5 แกลลอนที่สามารถให้ระยะการเดินทางได้ไกลกว่าถังน้ำมันทรง Peanut ของ Sportster Standard

 

ฝาถังน้ำมันเครื่อง ต้องกดลงแล้ว ฝาถังจะเด้งขึ้นเพื่อเปิดเติมน้ำมัน

ระบบกันสะเทือนปรับปรุงใหม่จากรุ่น Standard เดิม ทำให้เข้าโค้งได้แน่นขึ้นและดูดซับแรงได้ดีเมื่อเจอทางขรุขระ ในรุ่น Standard จะให้องศาการทิ้งโค้งได้แบนมากกว่ารุ่น Custom ขนาดยางหลังใหญ่ขึ้นเป็นขนาด 150 ไม่ทำให้ผมรู้สึกแตกต่างอะไรจากรุ่นเก่ามากนักเมื่อขี่ทดสอบ แต่มีส่วนช่วยในการเบรคเพิ่มขึ้นเนื่องจากหน้าสัมผัสที่กว้างขึ้น รวมไปถึงการปรับปรุงคาลิปเปอร์เบรคและปั๊มเบรคใหม่ทำให้ใช้แรงในการเบรคที่น้อยลงกว่าเดิม
 

 

 ปรับเปลี่ยนรูปแบบเฟรม พร้อมระบบกันสะเทือนหลังแบบใหม่   ครีบระบายอากาศขยายใหญ่ขึ้น ทำให้เครื่องยนต์ดูแน่นขึ้น

 Sportster 1200 Roadster - ตัวแรงที่สุดของรถตระกูลนี้

หลังจากทดสอบตัว Standard และ Custom ไปแล้ว คราวนี้ก็มาถึงตัวแรง XL1200R Roadster กันบ้าง มิติตัวรถรวมไปถึงเครื่องยนต์ ไม่แตกต่างไปจากตัว 883 Standard นอกเสียจากขนาดความจุกระบอกสูบที่เพิ่มขึ้น พัฒนาระบบแคม, ระบบระบายความร้อน, ปรับเปลี่ยนกำลังอัด และพัฒนาระบบการระเหยบนฝาสูบ ทำให้เรดไลน์เพิ่มขึ้นจาก 5500rpm เป็น 6000rpm หลังจากแก้ไขเรื่องการสั่นของเครื่องยนต์ไปแล้ว ทำให้ช่วงการใช้งานของรอบเครื่องยนต์ทำได้เพิ่มขึ้น คุณสามารถที่จะใช้ระยะเกียร์เพียง 1 หรือ 2 เกียร์เท่านั้นในการเข้าโค้งและเร่งออก และไม่ต้องกังวลกับอาการสั่นที่เคยเกิดขึ้นในรุ่นเก่าหากจำเป็นต้องเชนจ์เกียร์ลงต่ำเพื่อที่จะเข้าโค้ง ตำแหน่งการขี่ไม่แตกต่างจากรุ่น 883 Standard ทำให้ขี่ได้ดีทั้งในความเร็วสูงและการเข้าโค้ง ระบบกันสะเทือนหลังเป็นแบบตายตัวไม่เหมือนกับ XL1200S Sport รุ่นเก่าที่มีโช๊คแบบปรับระดับได้ จากผลการสำรวจ Harley ได้แจ้งว่า นักขี่ทั่วไปไม่ค่อยได้ให้ความสำคัญในการปรับระดับความหนืดของระบบกันสะเทือนมากนัก ทำให้ Harley เลือกที่จะให้โช๊คแบบตายตัวและเลือกความหนืดได้ดีซะด้วย เบรคหน้าแบบดิสท์คู่จะมีมาให้เฉพาะในรุ่น Roadster เท่านั้น การปรับปรุงระบบ Caliper และปั๊มเบรคใหม่ ยิ่งทำให้ Roadster สามารถหยุดได้ดีกว่ารุ่นก่อนๆมาก ระบบคลัชท์ได้พัฒนาให้เบาขึ้นกว่าเดิม แต่ก้อไม่เบาจนถึงกับขี่ในสภาพรถติดในเมืองได้อย่างสบายซะทีเดียว

สนนราคาของ Sportster ในอเมริกาเริ่มต้นที่ 6,680 เหรียญ สำหรับรุ่น 883 Standard และ 6,860 เหรียญ สำหรับ 883 Custom ในรุ่น 1200 Roadster อยู่ที่ 8,680 เหรียญ และ 8,860 เหรียญ สำหรับ 1200 Custom ราคาที่กล่าวมาเป็นราคาของสีดำล้วนเท่านั้น ส่วนใครที่ต้องการสีอื่นที่เป็นสีล้วนจะต้องเพิ่มอีก 180 เหรียญ หรือหากต้องการสีแบบ 2 โทน ก็ต้องเพิ่มอีก 375 เหรียญ ในราคานี้ Harley รับประกันการใช้งานเป็นระยะเวลา 2 ปี


ล้อหลังขยายจากขนาด 130 มาเป็น 150 ตามเทรนด์ล้อโตในปัจจุบัน พร้อมถังน้ำมันทรง Peanut ตามแบบฉบับ Sportster เดิม


 

 

 

 

 



 


 






สุดท้ายนี้ ผมก็ยังสงสัยอยู่ว่า ทำไม Harley ถึงเพิ่งตัดสินใจเอาระบบ Rubber Mounting สำหรับลดแรงสั่นสะเทือนจากเครื่องยนต์มาใช้ในรุ่น Sportster ทั้งๆที่ระบบนี้มีมาตั้งร่วมๆ 30 ปี แถม Harley ก็ได้เอาระบบนี้มาใช้กับ FXR ตั้งเกือบ 20 ปีมาแล้ว ถ้าเมื่อซัก 10 ปีก่อน Harley เอาระบบนี้มาใช้ใน Sportster ผมเชื่อว่าจะมีนักขี่หลายๆคนเลือกที่จะใช้ Sportster แทนที่รถญี่ปุ่นในรุ่นเดียวกันแน่นอน ยังไงก็ตาม ในปี 2004 Harley ก็ได้ทำในสิ่งที่ทุกคนรอมานาน ในการพัฒนาเจ้า Sportster ให้ใช้งานได้ดีขึ้น และเปลี่ยนรูปโฉมไปสู่รูปแบบใหม่อย่างเต็มตัว.. แล้วคุณจะหลงรัก Sportster หากคุณได้ลองเจ้ารุ่นใหม่นี้
 

Share   Like
Comments