เข้าสู่ช่วงปลายปี คงเป็นเวลาที่หลายๆคนรอคอยที่จะได้ออกทริปท่องเที่ยวท้าทายอากาศหนาวทางภาคเหนือ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่อาจจะเรียกได้ว่า "น่าขี่" รถมอเตอร์ไซค์มากที่สุดของปี ด้วยอากาศที่เย็นสบาย ช่วงเวลาหยุดยาวต่อเนื่องหลายวัน และงานไบค์วีคของจังหวัดต่างๆที่พร้อมใจกันจองช่วงเวลาที่จะได้ต้อนรับเพื่อนๆที่แวะมาท่องเที่ยวในพื้นที่ หลังจากชักเข้าชักออกทริปปลายปี 2008 อยู่หลายสัปดาห์ ในที่สุดก็สามารถเคลียร์งานได้ลงตัวทำให้วางแผนทริปขึ้นภาคเหนือโดยแวะพักที่จังหวัดพิษณุโลกเป็นที่แรก ก่อนหน้าที่จะออกเดินทาง มี E-mail มาจากพี่แก้ว พิษณุโลก แนะนำถึงพิพิธภัณฑ์ Harley แห่งตะพานหิน โดย "โกตา" ผู้ที่คลุกคลีอยู่กับ HD มาตั้งแต่ผมยังไม่เกิด เป็นผู้สร้างสถานที่แห่งนี้ขึ้นมา ทำให้ HDP รีบติดต่อเพื่อขออนุญาต โกตา เข้าไปเยี่ยมคารวะ และขออนุญาตสัมภาษณ์ี้เพิ่อจัดทำบทความโดยทันที
นัดแนะกันไว้ว่าจะมาถึงตะพานหินกันประมาณบ่ายนิดหน่อย แต่กว่าจะมาถึงบ้านโกตา ก็ปาเข้าไปเกือบ 4 โมงเย็น โกตา บุรุษวัยกลางคน ท่าทางแข็งแรง เดินออกมานำพวกเราเข้าไปยังด้านหลังบ้านที่จัดเตรียมอาหารและเครื่องดื่มไว้เรียบร้อยแล้ว หลังจากดื่มน้ำและทานอาหารที่ โกตา อุตส่าห์เตรียมไว้เพื่อที่จะเลี้ยงมื้อเที่ยง แต่ต้องกลายมาเป็นมื้อเกือบเย็น เลยต้องขออนุญาต โกตา สัมภาษณ์ถึงความเป็นมาของพิพิธภัณฑ์ Harley แห่งตะพานหิน แห่งนี้ ก่อนที่จะเย็นย่ำไปมากกว่านี้
โกตา รู้จัก Harley มาตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ
คือจริงๆ ผมรู้จัก Harley ตั้งแต่สมัยผมเป็นเด็กๆ เพราะตอนนั้น ผมเรียนมัธยมอยู่ที่สระบุรี มันจะมีรถพวกนี้เยอะ โดยเฉพาะพวกเจ็ดแรงนี่ มันเป็นรถของกรมทหารม้าไง และยังมีพวกเจ็ดแรง ติดไซด์คาร์รวมถึง 12 แรงไซด์วาวล์ อะไรพวกนี้ ผมเห็นมาตั้งแต่ปี 2500 ต้นๆ แล้วพอผมโตขึ้นมา ผมก็ชอบมัน ผมไปยืนดูทุกวันตรงสี่แยกที่สระบุรีใกล้โรงพัก จะมีสี่แยกที่มีหอนาฬิกา ผมจะยืนอยู่ตรงหอนาฬิกาทุกวัน จะมีจ่าคนหนึ่ง ชื่อจ่าใหญ่ เขาก็จะขี่ 7แรง ติดไซด์คาร์ แล้วก็มีเมียนั่งมาด้วยไป ซื้อกับข้าวในตลาด พอเลิกเรียน ผมก็มายืนรอทุกวัน มีรถบางคันที่ใส่ อานเป็นพู่ ผมอยู่สระบุรีจะเห็นรถพวกนี้บ่อย มันก็เลยซึมซับไปเรื่อยๆ เพราะสมัยก่อน รถพวกนี้ก็ถือว่าเป็นรถที่ใหญ่มาก ตอนนั้นเราเป็นเด็กเห็น ทุกอย่างมันใหญ่หมด
ในสมัยนั้นจะมีใช้แต่ในวงราชการ
คือเมื่อก่อน Harley ที่ผมเข้าใจ คิดว่ามันเป็นรถทหารอย่างเดียวเลยนะ ที่ใช้ในเมืองไทยอย่างคันนี้ (ชี้ไปที่รถใกล้ๆ) 12 แรง Pan head คันนี้ รู้สึกว่าจะออกมาจากกรมสารวัตร อันนี้ผมไม่แน่ใจ แต่ส่วนใหญ่พวก 7 แรง นี่ออกมาจาก ขส.ทบ. คือขนส่งทหารบก ในต่างจังหวัดที่มีค่ายทหาร เขาก็เอาไปใช้ แล้วตอนหลังเขาก็ประมูลออกมา หลังจากที่เขาเลิกใช้กันแล้ว มันก็เหมือนรถสันติบาลที่เลิกใช้แล้ว ก็ประมูลออกมา
แล้ว โกตา เริ่มจากขี่รถอะไร
ตอนนั้นผมเป็นเด็ก อายุประมาณ 15-16 ปีได้ ผมขี่ BSA 350 CC คือตอนนั้นน่ะ ผมเข้าใจว่า รถ Harley ส่วนใหญ่ยังเป็นรถของหน่วยราชการอยู่ คือเราไม่สามารถซื้อได้ แต่ผมจำได้ว่า พอผมโตขึ้นมาอีกหน่อย ผมเห็นพลเรือนขี่ในกรุงเทพฯ แต่พอดีจังหวะนั้นผมไปอเมริกา ผมไปเรียนหนังสือที่อเมริกา
ประมาณปีอะไรครับ
ปี 1972 ครับ ก็เลยคิดว่า เดี๋ยวผมไปซื้อที่อเมริกาขี่ ดีกว่า พอผมไปอยู่ได้ประมาณ 4 ปี ผมก็ขี่ Harley ที่โน่น
คันแรกที่ขี่เป็นรุ่นอะไรครับ
Duo Glide ปี 1961ครับ Pan Head ที่ไม่มี Start มือ แต่ก่อนหน้านั้นผมเคยขี่ Chopper ผมขี่ Chopper มาก่อนเป็นคันแรก ตอนยุค 70 มันเป็นยุค Chopper นะ สมัยผมไปอยู่อเมริกา ยุคนั้นเป็นยุคฮิปปี้ไง ส่วนใหญ่จะขี่ Chopper หมด หน้ายาวอย่างนี้ แล้วก็ใช้เครื่อง Pan Head คือจริง ๆ Pan Head น่ะ Product line มันยาวนะ ตั้งแต่ปี 1948 ไปถึงปี 1965 ก็จะใช้เครื่องตัวนี้ แต่ส่วนใหญ่แล้วเขาจะเอา Rigid เฟรม ก็คือพวกก่อนปี 1958 เอาไปทำ Chopper ก็คือตัดคอ แล้วเอาตะเกียบยื่นออกไป บางคนก็ใส่เป็นสปริง แล้วก็ใส่แฮนด์ลิง ส่วนใหญ่เป็นเครื่อง Pan head กับ Knucklehead และ Shovel head พวกไซด์วาวล์นี่ ถ้าผมจำไม่ผิดนะ ผมไม่ค่อยเห็น ที่เอามาทำ Chopper ส่วน Shovel head ก็ยังเป็นรถใหม่อยู่โดยมากจะใช้รถเก่ามาตัดทำเป็น Chopper ในยุคนั้น Chopper ส่วนใหญ่ Start เท้า ถือว่าเป็น Man Bike
แต่ในยุคนั้นก็มี Shovel แล้วใช่ไหมครับ
มีแล้วครับ เพราะว่าหลังจากปี 65 ก็เป็น Pan Shovel head และต่อมาก็เป็น Shovel head นี่มันเป็นพวก Shovel แล้ว แต่ว่าเขาไม่นิยมมาทำ เพราะมันมีโช้คหลังไง มันไม่สวย เขาต้องการ Rigid เฟรม Pan head เฟรมที่ไม่มีโช้คข้างหลัง เฟรมที่เขานิยมมีอยู่ 2 ตัว ตัวหนึ่งเขาเรียก Straight Leg คือตัว ของผม คือขาหน้าจะตรงลงมา และมีอีกตัวที่เขานิยมเล่นคือ Wishbone คือลักษณะมันจะถ่างออกอย่างนี้ เป็นขยักไง ตัวนั้นมีราคา คนส่วนใหญ่ก็จะหากัน แล้วเขาก็มาวางเครื่อง มันวางเครื่องได้ทุกตัวจะวางเครื่อง Knucklehead ก็ได้ วางเครื่อง Pan Head ก็ได้ บางคนคิดว่า Pan head มีตัวเดียว จริงๆ มันมี 2 ตัว คือมันมีเครื่อง 74 คิว ก็คือเครื่อง 1200 CC คือตัวนี้ แล้วมันมีเครื่อง 61 คิว ก็คือเครื่อง 1000 CC วิธีดู คือจะดูที่หมายเลขมัน มันจะขึ้นด้วย EL กับ FL ถ้า FL นี่หมายถึงตัวนี้ 1200 ถ้า EL เป็นตัว 61 คิว ก็คือ 1000 CC ตัวนั้นมีน้อยนะ แต่ผมคิดว่าในเมืองไทย น่าจะมี หลงๆ อยู่
FLH สมัยที่ใช้อยู่ในต่างแดน
แล้วได้ขี่ไปเที่ยวไหนบ้างไหมครับในอเมริกา
ในยุคนั้นไม่มีคนไทยขี่รถ Harley เลยมีผมคนเดียวเท่านั้น ในเท็กซัสที่ขี่ Harley ผมก็ขี่เที่ยวของผม ผมไปทำงาน ผมไปเรียนหนังสือ ก็ขี่ของผม คือใช้เป็นรถประจำวันของผมเลย จนกระทั่งปี น่าจะเป็นปี 80 นะ ผมขายมันไป แล้วผมไปซื้อ Shovel ที่มันมีสตาร์ทมือ เพราะขี้เกียจสตาร์ทเท้า ผมจำได้ ตอนนั้นผมขายไป 3,200 เหรียญ แล้วผมไปซื้อ Electra Guide ปี 77 เดี๋ยวผมจะเอารูปให้ดู ผมซื้อ Electra Guide ปี 77 ราคา 2,200 เหรียญ ผมยังเหลือ 1,000 เหรียญ ดีใจแทบตาย แต่ทุกวันนี้เหรอ ผมน่าจะเก็บคันนั้นไว้ ผมยังเคยส่ง Harley 7 แรงเกียร์มือจากเมืองไทยไปอเมริกาเลย บริษัท Harley เอารูปผมไปลงนิตยสาร Harley ตอนนี้รถอยู่กับเพื่อนผม มันเก็บไว้ในโรงนา เป็นรุ่น WL ปี 1939 เป็นเกียร์เล็ก ผมมาซื้อ 7 แรงที่เมืองไทย ตอนปี 2525 ผมกลับเมืองไทยครั้งแรกอยู่เมืองไทย 8 เดือน ผมก็หาซื้อพวกรถโบราณ พวกนี้ ผมก็ได้มาสองคัน ก็คือคันนี้ ผมส่งกลับไปอเมริกาคันหนึ่ง ตอนที่ผมกลับไป ช่วงหลัง ผมก็ไป ๆ มา ๆ ไปอยู่ที่โน่นบ้าง กลับมาเที่ยวบ้าง จนปัจจุบันผมย้ายกลับมาอยู่เมืองไทยถาวรได้ 5-6 ปีแล้ว เที่ยวที่ไหนก็ไม่สนุกเหมือนเที่ยวอยู่ในเมืองไทย
รูปสมัยอยู่อเมริกา กับ Electra Glide Shovel Head
กับ WL ปี 1937 เครื่อง 7 แรง เกียร์เล็ก
ลักษณะคนที่ใช้รถ Harley ในอเมริกาเป็นยังไงบ้างครับ
คือสมัยก่อน ช่วงปี 60 ,70, 80 พวกนี้ ส่วนใหญ่มันจะเป็นพวกแก๊งมอเตอร์ไซค์มากกว่า จนกระทั่ง มาตอนหลังนี่ พอพวก Evo ออกมา พวก Twin Cam ออกมา มันก็เปลี่ยนเป็นพวกยัปปี้ขี่ เป็นพวกหมอ พวกทนายความ อะไรพวกนี้ มีคนหลากหลายอาชีพหันมาขี่มากขึ้นกว่าเดิม แต่พวกแก๊งมอเตอร์ไซค์ก็ยังคงอยู่
อยู่ที่โน่น โกตา ได้ไปทริปที่ไหนบ้าง
ส่วนใหญ่ผมจะเที่ยวอยู่ใน Texas ผมว่า เฉพาะ Texas มันก็ใหญ่กว่าประเทศไทยแล้ว สมัยก่อนรัฐเท็กซัส นี่มันเป็นรัฐที่ คนมันค่อนข้างจะเหยียดผิว บางทีเราขี่คนเดียว มันก็ค่อนข้างจะอันตราย ผมก็จะขี่ข้ามรัฐ ไป Louisiana ไป New Orleans และรัฐใกล้ ๆ แต่ผมไม่ได้มีโอกาสไป Sturgis เพราะส่วนใหญ่ผมทำงานบริษัท ผมลาไม่ได้ ยิ่งขับไปตามบ้านนอก ยิ่งต้องระวัง เมื่อก่อนนี้ผมไม่ได้เล่นมอเตอร์ไซค์อย่างเดียว ผมเล่นรถยนต์ด้วย ชอบไปดูเขาแข่งรถ บางทีมันไปแข่งรถกันแล้ว มันทะเลาะกัน มันก็ไล่ตีกันในสนาม ยิงกัน อะไรพวกนี้แหละ มีอยู่ปีหนึ่งช่วงปี 80 มันยกพวกตีกัน ขับรถยนต์ไล่ยิงกัน แต่ปัจจุบันสังคม มันเปลี่ยนไปมาก เหตุการณ์เช่นนี้ไม่มีแล้ว
นอกจาก Harley แล้ว โกตา เล่นรถอเมริกันด้วย
ผมเล่น Harley มาพักหนึ่ง แล้วผมก็ไปเล่น Corvette แล้วตอนหลังผมก็ไปเล่นรถปิ๊กอัพ พวก Chevrolet แต่ Harley นี่ผมไม่เคยทิ้งนะ เพียงแต่ผมเบา ๆ มือ ผมชอบศึกษาพวกรถปิ๊กอัพ แต่ส่วนใหญ่ผมจะหนักไปทาง Chevrolet คือ Ford ผมก็พอมีความรู้ แต่ว่า ผมไม่ค่อยชอบรถ Ford ผมชอบรถพวกตระกูล GM ก็คือพวก Chevrolet ผมเคยมีปิ๊กอัพ ปี 1939 และปี 1949
Chevrolet ปี 1949
รถปิ๊กอัพ Chevrolet ปี 1939 สมัยที่ใช้อยู่ในอเมริกา
รถพวกนี้ โกตา ใช้ตอนอยู่อเมริกา
ครับ พวกนี้เป็นรถที่ผมใช้งานนะ Harley นี่ขี่ตั้งแต่ปี 1976 ตลอดระยะเวลาที่อยู่อเมริกาจนถึงปัจจุบันผมก็ขี่ไปทำงาน ผมขี่เป็นแบบรถประจำวัน บางทีอากาศมันหนาวมากๆ ผมก็ขับรถปิ๊กอัพ อย่างคันนี้ปี 1939 (เอารูปมาให้ดู) ผมใช้เวลาทำมันนะ ผมเริ่มทำตั้งแต่เดือนมีนาคม ปี 1982 ผมทำสำเร็จเลยนะ เดือน กรกฎาคมปี 1982 แต่ผมขายไปหมดแล้ว แล้วผมก็ไปได้คันนี้ คันนี้ปี 1949 แต่ก่อนหน้านั้นผมเล่น Corvette มาก่อน คันนี้ปี 1964 ตัวนี้เครื่องแรง ผมเคยเป็นเจ้าของ Corvette มาทั้งหมด 5 คัน ตัวนี้ปี 64 ผมเคยมีปี 76 ถึง 2 คัน 73 คันหนึ่ง ก่อนผมกลับมาอยู่เมืองไทย ผมขายปี 87 ไป อันนี้รถจี๊ป CJ7 ผมขายตอนที่ผมกลับมาอยู่ที่นี่ พวก Corvette รุ่นเก่าอย่างปี 64 วางเครื่อง 327 นี่เขาเรียก Chevy Small Block ก็คือ 283, 327, 350 ตัวนี้เป็นเครื่องเล็ก มันจะมีเครื่องใหญ่คือ 427 พวกนี้เขาเรียก Muscle Car พวกนี้จะมาตอนปี 67, 68, 69, 70 พวกนี้ เป็นเครื่องใหญ่ เพราะช่วงนั้นน้ำมันถูก แต่ว่าตัวเล็กนี่ไม่ใช่ไม่วิ่งนะ ตัวเล็กของผมนี่ 327 เครื่อง 365 แรงนะ
รถ Corvette ปี 1964
แต่ใช้รถในอเมริกาจะมีเรื่อง Speed Limit
ก็ Speed Limit มันมีอยู่แล้ว ข้างถนนมันจะเขียนบอกตลอด พวกตำรวจชอบแอบซุ่ม ไม่รู้มันอยู่ตรงไหน พวกนี้มันเหมือนผี ตอนกลางคืน ตีหนึ่ง ตีสอง เห็นไม่มีคน ป้ายที่ที่มันเขียนหยุด ของเขาหยุดหมายถึงหยุดนะ ไม่ใช่ชะลอ หยุดคือหยุดนะ ไม่ใช่ล้อเอื่อยๆ ปื้ดไปล่ะเสร็จเลย ต้องหยุด เพราะเขาเคารพกฎหมาย ประเทศเขามีระเบียบวินัย
แล้ว โกตา เคยโดนจับเรื่องความเร็วไหม
ก็โดนกันแทบทุกคนแหละ บางทีลืมไป เหยียบเพลินไปหน่อย แต่ส่วนใหญ่เขาก็เผื่อให้ ถ้าไม่เกิน 10 ไมล์ อย่างสมมติ 45 ไมล์ต่อชั่วโมง ขับซัก 50 เขาก็ไม่ได้ว่า แต่ถ้าขับซัก 55 เขาก็จับ
หลังจากกลับมาเมืองไทย ได้ไปออกทริปที่ไหนบ้าง
คือช่วงปี 90 ต้นๆ น่าจะเป็นปี 92, 93 นี่ ช่วงนั้นเมืองไทยกำลังบูม ผมก็ไปรู้จัก พี่แดงที่ขี่อยู่ Immortals พี่แดงแว่นน่ะ ไปรู้จักกันโดยบังเอิญ ผมไม่รู้จักเขามาก่อนหรอก คือผมอยู่เมืองไทย ผมก็ขี่ของผม กับเพื่อนผม คนสองคน อะไรอย่างนี้ เสร็จแล้วมีอยู่วันหนึ่ง ผมไปเจอแดงแว่น เขานั่งกินข้าวอยู่ที่ร้านอาหาร เขาขับ 7 แรง เกียร์มือ มาจอดอยู่ ความที่เราเป็นคนชอบรถอยู่แล้ว เอ๊ะรถใคร ก็เห็นเขานั่งคุยกันอยู่ 2 คน ผมก็เข้าไป บอก โทษนะครับ ใครเป็นเจ้าของรถคันนี้ แดงก็บอก รถผมเอง บอก รถสวยดีนะ คือคนเล่นรถมันจะมีวิธีการทักกันไง บอกรถสวยดีนะ อ้าว เล่น Harley เหมือนกันเหรอ บอกครับ อยู่ที่ไหน บอกอยู่พิจิตร เขาบอก ใช่ตาพิจิตรรึเปล่า บอกใช่ครับ ก็เลยรู้จักกัน ตอนนั้นแดงเขาอยู่ Immortals ไง ก็เลยนั่งคุยกัน คุยกันเรื่องสัพเพเหระ คุยกันเรื่องรถ เรื่องอะไร เขาก็เลยชวนผม บอกว่า นี่ เขาจะมีทริปไปเชียงใหม่ ตอนนั้นมันยังไม่มี Bike Week นะ ยุคนั้น ผมก็คุยกับเขาว่า เขาจะไปกันอีกเมื่อไหร่ ผมก็ไปดักรออยู่ที่นครสวรรค์ แล้วผมก็ไปเที่ยว ตั้งแต่นั้นมาผม ก็ขี่เที่ยวอยู่กับพวก Immortals พวกติ๊ด พวกแดง อะไรพวกนี้ ขี่อยู่ประมาณซัก 2 ปี คือผมจะมาชั่วคราว สองสามเดือน แล้วผมก็กลับ เสร็จแล้วแดงเขาบอก มีพรรคพวกเราอยู่ที่ Texas นะ อยู่ที่ Austin เขาก็เป็นสมาชิก Immortals เป็นเพื่อนกัน ผมก็ขับไป Austin ปรากฏว่าเป็นโอ๊ะ ก็เลยรู้จักกัน แล้วก็ขี่ด้วยกัน แล้วตอนหลังเขาก็กลับมา ผมก็กลับมา ผมขี่อยู่กับ Immortals ประมาณซัก 2 ปี ได้มั้ง แดงเขาบอก เมื่อไหร่จะมาเป็นสมาชิก Immortals ซักที คือตอนนั้นผมก็ไม่ได้เป็นสมาชิก เขาไปเราก็ไป คือผมเข้าได้ หมดทุกคน เขาก็เลยชวน ติ๊ดเขาบอก มาเป็น Immortals มา แล้วตั้งแต่นั้นก็เลยเป็นสมาชิก Immortals มาตลอด แต่ว่าช่วงหลัง ๆ พอผมย้ายกลับมานี่ ผมก็มาสร้างบ้าน สร้างอะไร ผมก็ไม่ค่อยได้ไปกรุงเทพฯ แล้วบ้านที่อยู่กรุงเทพฯ ก็รื้อมา เอาไม้มาสร้างบ้านที่อยู่ข้างหน้า ผมก็เลยไม่ค่อยได้ไปกรุงเทพฯ ช่วงหลัง ๆ ก็ไม่ได้ขี่กับพวก Immortals เหมือนเมื่อก่อน ยุคก่อนแถวนี้ไม่มีใครขี่ Harley นอกจากผมคนเดียว Harley เวลาจะขี่ที ผมก็ต้องหอบรถผมไปกรุงเทพฯ สามร้อยกว่ากิโล เพื่อจะไปจอยกับเขา พอตอนหลัง ๆ คือแถวพิษณุโลก ก็เริ่มมีรถ Harley แล้วเราก็จอยกันเอง คือพวกภาคเหนือตอนล่างไง ตอนนี้ก็น่าจะมีสัก 30 คันนะ มีพิษณุโลก สุโขทัย ตาก กำแพงเพชร นครสวรรค์ ชัยนาท บางทีเราก็ไปขี่ด้วยกัน มันก็ได้ 20-30 คัน ผมก็เลยไม่ค่อยได้เข้ากรุงเทพฯ เหมือนแต่ก่อน
ถ่ายกับเพื่อนๆที่ Texas ปี 2546 ก่อนย้ายกลับมาเมืองไทย
รถโบราณกับการออกทริปไกลๆ
ถ้าให้ผมสะสมรถ ผมจะสะสมรถรุ่นโบราณ แต่ถ้าให้ผมขี่รถรุ่นเก่าไปเที่ยว ผมเอาไหม ผมไม่เอานะ มันหมดยุคแล้ว สมัยปี 2525-2526 ผมขี่ 7 แรงเกือบทั่วประเทศไทยนะ ผมมาเมืองไทย 8 เดือน ที่ผมบอก ผมซื้อสองคันน่ะ เชื่อไหม ผมใช้เวลาประกอบ 3 อาทิตย์เสร็จ คันหนึ่ง ผมทำงานถึงเช้านะ จนแม่ผมบอกว่า ไม่นอนเหรอ จะรีบไปไหน บอกจะรีบไปขี่ แล้วผมก็ขี่เที่ยว 8 เดือน กลับไปตกงานเลย ถูกบริษัทไล่ออกจากงาน ก็ยังอุตส่าห์หอบหิ้วกลับไปด้วยคันหนึ่ง ถ้ายุคนี้นะ ให้ผมขี่เล่นก๊อกแก๊ก ๆ แถวนี้ได้ แต่ถ้าจะไปทริป ไม่เอาด้วย ลำบาก มันไม่เหมาะสม กับเวลาตอนนี้ คือทางเลือกเรามีเยอะ เมื่อก่อนมันไม่มีทางเลือก ไอ้นั่นก็ถือว่าดีที่สุดแล้ว เกียร์มือนะ เหมือนคุณจะนอนเอาพัดโบก หรือว่าคุณจะนอนในห้องแอร์ คุณมีโอกาสซื้อแอร์ คุณไม่ซื้อแอร์ โบกดีกว่า เอาแบบโบราณ ยังกางมุ้งนอน ไม่ยอมซื้อมุ้งลวด ไม่ไหวมั้ง
ออกทริปท่องเที่ยวช่วงปี 2525 น้ำมันราคาลิตรละ 2.50 บาท
อย่างงาน Bike Week ในปัจจุบัน
ก็ไป งานเชียงใหม่ผมไปทุกปี ตั้งแต่ปี 1 จนถึงปีที่ 10 ไม่เคยขาดเลย มาเมื่อปีที่แล้วกับปีนี้ ที่ผมจะไม่ไป เพราะปีนี้ผมติดสร้างบ้าน ผมก็เลยคิดว่าปีนี้ผมไม่ไป ผมว่ามันไม่เปลี่ยนนะ รูปแบบมันก็เดิม ๆ มีดนตรี ไม่ได้เปลี่ยนอะไร
อย่างจำนวนคนเล่นรถ Harley เดี๋ยวนี้
คือตอนนี้พวกเด็กอายุน้อย ๆ หันมาขี่ฮาเลย์เยอะ แต่พวกเล่นรถโบราณมันไม่ค่อยมี คือจริง ๆ มันมีนะ ในกรุงเทพฯ น่ะเยอะ แต๊ว ผมก็รู้จักกัน ผมรู้จักกับเขาตอนที่เขามีประกวดรถที่เดอะมอลล์บางกะปิ ผมไม่รู้จักใครเลยนะ ผมได้ยินเขาประกาศทางวิทยุหรืออะไรซักอย่าง บอกปีนี้ จะเป็นปีแรก หรือปีที่สอง หรืออะไรก็ไม่รู้ ที่จะมีการประกวดรถจักรยานยนต์โบราณ ผมก็หอบสามล้อผมไป ก็ได้รู้จักกัน ก็รู้จักกับแต๊ว รู้จักคนโน้นคนนี้ ส่วนใหญ่ผมไป ก็ไม่ได้หวังอะไร ก็แบบ ไปรู้จักกับคนที่เขาเล่นรถโบราณด้วยกัน มีอะไรก็ติดต่อกัน
ตอนนี้ โกตา มีรถ Harley อยู่กี่คัน
เดิมมี 10 คัน ตอนนี้เหลืออยู่ 9 คันนะครับ ที่เห็น แต่ที่ผมไว้ขี่เดินทางไกล ก็มี Road King ผมเพิ่งขาย Fat Boy ไปตัวหนึ่ง เพราะมันไม่ได้ใช้งานอะไรก็เลยขายไป รถโบราณทุกคันนี่ผมรื้อหมดนะ ประกอบขึ้นเองหมด
โกตา จบทาง Mechanic มาหรือเปล่า
ไม่ใช่ครับ ผมทำงานโยธา อยู่อเมริกา ผมออกแบบพวกโยธา รถโบราณเป็นงานอดิเรกผมไง เวลาเล่นรถยนต์นี่ผมรื้อหมดนะ Corvette เครื่อง ผมรื้อหมดเลย รถโฟล์ค รถอะไร ผมรื้อหมด ผมก็มีพื้นฐานอยู่บ้างนิดหน่อย สมัยเป็นเด็กๆ แต่พวกนี้มันศึกษาได้ ถ้าดูในห้องทำงานผม จะเห็นพวก Manual เต็มเลย คือ เราก็อาศัย Manual นี่แหละ เพราะผมเป็นคนความจำไม่ดี เปิดหนังสือตลอด เพื่อความไม่ให้ผิดพลาด ผมจะเปิดหนังสืออ่าน แต่อย่างพวก 7 แรงนี่มันผ่านมือมาเยอะ ทำบ่อย มันชอบด้วย ระบบมันก็ระบบง่ายๆ ระบบไฟมันก็ง่ายๆ แต่พวกอีโว พวกอะไรพวกนี้ ผมไปไม่ค่อยเป็น มันเป็นระบบอิเล็กทรอนิกส์ ผมไม่ค่อยชอบ หัวฉีดอย่างนี้ ทำไม่ได้ ผมไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ แต่พวก Pan Head พวกอะไรพวกนี้ ผมชอบทำ จริง ๆ มันไม่ยากนะ มันอาศัย Common Sense คืออย่าไปคิดพลิกแพลงอะไรมันมาก ไม่ต้องไปคิดลึกๆ มันถอดอย่างนี้ แล้วก็ใส่กลับไปอย่างนั้น อ่านหนังสือว่าเขาตั้งเท่าไหร่ แล้วก็ตั้งตามที่หนังสือบอก Manual ผมมีเยอะ
รถที่ได้มาส่วนใหญ่มาจากอเมริกา
ไม่ครับ ผมซื้อจากเมืองไทยนี่แหละ ก็มีสามล้อ ที่ขนกลับมา แต่ส่วนใหญ่เป็นรถซื้อเมืองไทย พวก 7 แรงนี่ผมซื้อเมืองไทย Pan Head นี่ผมก็ซื้อเมืองไทย ตอนนั้นคันไม่กี่สตางค์เอง ตอนปี 2525 รุ่น 7 แรง มีทะเบียน คันหนึ่ง หมื่นกว่าบาท ผมซื้อทีสองคัน สองคันสามหมื่น สามหมื่นกว่าบาท คือปกติ เวลาผมได้รถมานี่ ผมมีเวลาอยู่เมืองไทยแค่สองสามเดือน แล้วผมก็จะกลับไปอเมริกา พอผมได้ปุ๊บ ผมก็จะรื้อเลย รื้อๆ ทำๆ ทำให้ถึงระดับหนึ่ง แล้วผมจะไปเก็บไว้ที่โกดังพี่ชายผม ที่เชียงราย รถพวกนี้ แต่ก่อนไปอยู่ที่โกดังที่โน่น ตั้งเป็น 10 ปี คือเราประกอบแบบคร่าว ๆ ไม่ให้มันชำรุดมาก ผ่าเครื่องมา เอาน้ำมันชโลมไว้ พวกสี เราก็ทำเลย แต่ว่าไม่ต้องดีมาก คือไม่ให้มันเป็นสนิม เป็นอะไร อย่างนี้ แล้วก็ส่งไปที่โกดัง แล้วก็เอาผ้าคลุมเอาไว้ จนกระทั่งผมย้ายกลับมาอยู่ถาวร ผมถึงไปย้ายมันมา ที่อยู่ปัจจุบัน ผมก็รื้อทำใหม่อีกทีหนึ่ง ก็คือที่เห็นทุกวันนี้ อย่างบางคันก็ยังไม่ได้ทำ คันสีเขียว คันนี้ก็ยังไม่ได้ทำ
ข้อดีของ Harley คือมีอะไหล่ตลอด
พวกนี้มันมีตลอดอยู่แล้วครับ ส่วนใหญ่พวกอะไหล่เจ็ดแรง ผมค่อนข้างจะมีพอสมควร อย่างตู้นี่ มันจะเป็นพวกของหายาก ผมเก็บไว้ เอาไว้ให้เด็กรุ่นหลังดู คือผมเล่นรถโบราณ ผมเล่นเชิงอนุรักษ์ด้วยไง คือพยายามจะรักษาให้มันอยู่ในสภาพดี แล้วก็เอาไปโชว์ ให้พวกเด็กรุ่นหลังได้ดู แต่อะไหล่บางตัว ก็มันมีขีดจำกัดของมันนะ อย่างของบางอย่างที่เขาไม่ผลิตแล้วนี่ เราก็ต้องใช้ของ re product แต่ส่วนใหญ่แล้ว ผมว่ามันก็ใช้ได้นะ ถ้าเราจะไปคิดว่าจะเอาเดิมทุกอย่าง คุณไม่ได้ขี่รถแน่ ผมพนันได้ เพราะบางอย่าง ไม่มีก็คือไม่มี
เดี๋ยวนี้พวกอะไหล่เก่ายังมี OEM อยู่อีกเหรอครับ
มันมีพวกอะไหล่ตกค้าง มันยังมีอยู่ พวก New Old Stock มันยังมีอีกเยอะ เพียงแต่ว่าเราต้องหาแหล่งของมันว่าแหล่งมันอยู่ที่ไหน อย่างพวกบริษัทที่ผลิตพวกอะไหล่ Re product ส่วนใหญ่พวกนี้จะมีอะไหล่ New Old Stock เยอะ ที่เยอะก็คืออะไหล่ทหาร พวก WLA พวกรถ 7 แรง พวกทหารนี่ อะไหล่เขาเยอะมากนะ ผมเพิ่งไปอ่านเมื่อเร็ว ๆ นี้ รู้สึกมันผลิตมาเยอะมากเลย อะไหล่พวกนี้อยู่ในอเมริกาเยอะ แต่ว่าราคามันค่อนข้างจะสูง เดี๋ยวนี้
เค้าเล่นรถโบราณกันตามปีหรือเปล่า
เราก็ดูจากข้อมูลสากลที่เขาเล่น วิธีดูก็คือ เขาจะเล่นรถที่อยู่ในช่วงรอยต่อของการเปลี่ยนแปลง ผมยกตัวอย่างนะ เช่นปี 65 มันเป็น Pan Head ปีสุดท้าย แล้วมันก็มีสตาร์ทมือ เรียกว่า Electra Glide และมีฉายาว่า “ King Of The Highway” ซึ่งถือเป็น Pan Head ตัวสุดท้ายที่มีสตาร์ทมือ และเป็นปีเดียว เพราะฉะนั้นจำนวนรถที่มันมีอยู่ มันมีน้อย ถูกไหมหลังจากนั้นมันก็เปลี่ยนเป็น Pan Shovel และ Shovel Head เช่นปี 48 Pan Head เป็นปีเดียวที่เป็นโช๊คสปริง หลังจากนั้นก็เป็นโช๊คกระบอก คือ Hydra Glide ถ้าเรา ไปเล่นรถ Pan Head อย่างสมมติ Duo Glide นี่ มันเริ่มตั้งแต่ปี 1958-1964 ตั้ง 7 ปี รถมันมีเยอะมาก เพราะฉะนั้น มันค่อนข้างจะหาง่าย คือวิธี ที่คนเขาเล่นกัน อย่างถ้าเป็นรถปัจจุบัน ถ้าให้ผมคาดคะเนนะ หรือว่าถ้าผมจะเก็บ แต่ตอนนี้ผมไม่เก็บแล้ว อายุผมเยอะแล้ว เก็บไม่ทันแล้ว อย่าง Fat Boy หัวเหลือง ผมว่าก็น่าเก็บ เพราะเป็น Fat Boy ตัวแรก และก็เป็นหัวเหลืองที่ผลิตมาตัวเดียว แล้วก็ไม่ผลิตอีกเลย ถูกไหม ตัวนี้น่าเก็บ ผมบอกคนบางคนเลยที่ชอบ Fat Boy คุณเก็บได้เลย หัวเหลืองนี่ มันมีอนาคตแน่นอน อันนี้เป็นวิธีการ และจากประสบการณ์ผมนะ มันอาจจะถูกจะผิด อันนี้ผมไม่รู้นะ กาลเวลามันจะเป็นเครื่องตัดสินไง แต่ส่วนใหญ่จะเป็นอย่างนั้น อย่างสมัยผมเล่น Corvette นี่ เขาก็เล่นกันอย่างนี้ ทำไมชอบเล่นปี 63 ไม่ชอบเล่น 64 เพราะว่าปี 63 Split Windows มีกระจกสองแผ่น เป็นปีเดียวที่สร้างมา จริงๆ รถมันก็รถตัวเดียวกัน เครื่องเหมือนกัน แรงม้าเท่ากัน เพียงแต่ว่า ข้อแตกต่างคือ กระจก เป็นกระจกสองบาน พอปี 73 มันก็เปลี่ยนจากกันชนเหล็ก เป็นยาง แต่มันดันเปลี่ยนเฉพาะข้างหลัง ข้างหน้าเป็นเหล็ก เขาเรียก Combination Body คือหมายความว่า มันมีอะไรที่มันผิดแปลก ไปจากรถไป ปีอื่นๆ แล้วเป็นปีเดียวที่เขาสร้าง รถพวกนี้มันก็จะถูกพวกนักสะสมหมายตาเอาไว้ มันเหมือนแสตมป์ที่เขาพิมพ์ออกมาแล้วพิมพ์ผิด เลขกลับ เลขหล่นอย่างนี้ มันมีลักษณะพิเศษ อันนี้คือวิธีการ ที่นักสะสมเขาจะดู ว่าจะมีลักษณะอะไร พิเศษไปจากทั่ว ๆ ไป
อยากให้ โกตา ช่วยแนะนำเด็กรุ่นๆหลังๆที่อยากเล่นรถโบราณบ้าง
ศึกษาก่อน ถ้าไม่ศึกษาก่อน เขาก็จะซื้อของแบบสะเปะสะปะ อย่างบางคนก็คิดว่าเออ เดี๋ยวจะซื้อไอ้นี่เก็บไว้ ไอ้โน่นเก็บไว้ แล้วตัวเองก็ไม่รู้ ไม่มีข้อมูลมากพอ ก็ซื้อไปเรื่อย บางทีก็เสียเงินโดยใช่เหตุ แต่ถ้าจะให้ผมแนะนำนะ คือไอ้การที่จะไปซื้ออะไหล่มาทีละชิ้น แล้วก็มาสะสมไว้ แล้วมาประกอบ เขาจะต้องมีพรสวรรค์ในการที่จะทำด้วย ถ้าหากคุณคิดว่า คุณจะไปซื้อมาแล้วก็ไปดองไว้ แล้วถึงเวลา คุณไปยกให้ช่างทำนี่นะ ผมว่ามันไม่คุ้มหรอก อันนี้เป็นความรู้สึกส่วนตัวผมนะ คือผมไม่ใช่คนเก่ง เวลาทำผมจะเปิดหนังสือตลอด คือผมจะศึกษามันก่อน ก่อนที่ผมจะรื้อมัน แล้วผมก็จะค่อยๆ ทำ คือมันไม่ยากหรอก แต่ว่ามันต้องมีพื้นฐานบ้าง ถ้ามีพื้นฐานก็ไปของมันเรื่อยๆ ยิ่งทำ มันก็ยิ่งรู้ไปเรื่อยๆ แต่ผมได้เปรียบอยู่อย่างหนึ่ง ตอนที่ผมอยู่อเมริกา คนที่เล่นรถโบราณ ส่วนใหญ่เขาไม่ค่อยหวงวิชา ก็เมื่อก่อนผมเล่นรถ สีรถผมพ่นไม่เป็นนะ ผมมาเล่น Corvette ผมถึงพ่นสีเป็น พอดีคนที่ทำงาน เขาก็เล่นรถ เขาก็บอกผมว่า ต้องหัดพ่นสีเองนะ ผมบอกไม่มีความรู้ ไม่เป็นไร ต้องหาจุดเริ่มต้นให้ได้ ก็คือตัวเขานั่นแหละ ผมก็ศึกษาจากเขา ให้ทำอย่างไร เขาจะบอกเป็น step เลย แล้วเราก็ทำตามที่เขาบอก เสาร์-อาทิตย์ บางทีผมก็ไปตามอู่ ก็ไปคุยกับพวกช่าง แล้วก็ได้ความรู้ เขาก็ไม่หวงวิชา แล้วเราก็มาทำเอง คือพวกนี้มันจะเก่งหรือไม่เก่ง อยู่ที่ว่า เราจะพัฒนาตัวเองได้ระดับไหน ใช่ไหม คือมันต้องหาข้อมูล เดี๋ยวนี้เขาใช้สีแบบนี้นะ อะไรอย่างนี้ มันทำให้งานมันง่ายขึ้น เพราะว่าสารเคมีรุ่นใหม่ๆ ที่ออกมา มันทำให้เราทำงานง่ายกว่าเก่าเยอะ อย่างพวกอะไหล่ก็สำคัญ เจออะไหล่ผมก็ซื้อ อะไหล่ผม ข้างบนอีกเต็มเลย บนเพดาน เพราะว่าทำรถโบราณนี่นะ ถ้าเราไม่มีอะไหล่ มันทำให้งานเราเดินไม่สะดวก เวลาผมจะรื้อรถ ผมเตรียมอะไหล่ไว้ก่อนเลย คือเราพอจะรู้ว่ามันต้องใช้อะไรบ้าง เราก็เตรียม ๆ ไว้ อะไหล่บางอย่างมันเป็นอะไหล่ที่เรานึกไม่ถึงว่ามันจะเสีย มันไม่เสีย แต่มันสึกไป มันไม่ดีพอที่เราจะใช้ เราก็เปลี่ยน บังเอิญเราไม่มีอย่างนี้ มันต้องเสียเวลาไปสั่งมา แต่ส่วนใหญ่ผมก็เตรียมของผมไว้ อย่างเกียร์ เกียร์มันไม่เสีย เกียร์รถ Harley มันเสียยากมากนะ เพียงแต่ว่ารื้อมาแล้วมันหลวมไง ลูกปืนมันสึกหมดแล้ว อย่างนี้ สมัยผมอยู่ที่โน่น ผมรื้อเกียร์ แล้วผมก็ซื้อพวก พวกลูกปืนโอเวอร์ไซด์ เก็บไว้ พอเดี๋ยวนี้รื้อ ผมไม่กลัว ผมก็ไปค้นของเก่าๆ ที่ผมซื้อเก็บเอาไว้ สรุป โดยส่วนตัวผมแล้วถ้ามันเป็นงานอดิเรกที่คุณชอบ อย่าไปทำเป็นอาชีพ มีหลายคนบอก พี่ทำไมไม่เปิดช็อป บอกอยู่สบายแล้ว เปิดช็อปเมื่อไหร่ ก็ทุกข์ทันที รถตัวเองไม่ได้ทำ คนโน้นก็มากดดัน คนนี้ก็มากดดัน รถผมเสร็จหรือยัง เมื่อไหร่อะไหล่จะมาล่ะ แล้วผลสุดท้ายคุณก็จะเบื่อ รถตัวเองก็กองเน่า ไม่ได้ทำ ถ้าคุณทำมันเป็นงานอดิเรกนะ ปล่อยเป็นงานอดิเรกน่ะ ดี คุณจะสนุกกับมัน
หลังจากพูดคุยและได้รับความรู้มากมายจากประสบการณ์ต่างๆของ โกตา ที่คลุกคลีอยู่กับรถ HD มากว่าครึ่งชีวิต ได้รับรู้ถึงเรื่องราวในต่างแดนที่ โกตา ได้ไปพบและสัมผัสมาโดยตรง ทุกครั้งที่ โกตา เล่าถึงสิ่งที่ได้พบได้เจอมา โกตา จะบอกเล่าได้อย่างสนุกสนาน พร้อมกับจดจำรายละเอียดต่างๆได้อย่างแม่นยำ สิ่งต่างๆที่ โกตา ได้เล่าถึง นับเป็นข้อมูลอันล้ำค่าที่คนรุ่นหลังๆ อย่างพวกเราควรที่จะเรียนรู้และนำมาปรับใช้ในวิถีชีวิตในปัจจุบัน ผมเชื่อว่าหลายๆท่านที่ชื่นชอบในรถสองล้อ คงฝันที่จะมี Work Shop เป็นของตัวเอง ได้มีเครื่องมือดีๆ มีอุปกรณ์พร้อมที่จะทำรถที่ตัวเองรัก โกตา เป็นตัวอย่างที่ทำให้พวกเราได้เห็นว่า ไม่จำเป็นที่จะต้องจบทางสายช่างยนต์โดยตรง ก็สามารถทำสิ่งที่ตัวเองรักได้เป็นอย่างดี
ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปนานแล้ว โกตา เดินออกมาส่งพวกเราที่หน้าบ้าน เพื่อที่จะเตรียมตัวเดินทางฝ่าความมืดเข้าตัวเมืองพิษณุโลก โอกาสพิเศษเช่นนี้คงจะเกิดขึ้นไม่ได้ ถ้าขาด พี่แก้ว, พี่ยักษ์ และพี่ตี๋ ที่อุตส่าห์พาเราเดินทางมายังตะพานหินแห่งนี้ และยังขี่นำกลับเข้าตัวเมืองพิษณุโลกพร้อมทั้งเลี้ยง 1 อิ่มและ 1 เมา ต้องขอขอบคุณ พี่ๆ แห่ง ตะพานหิน ที่นำออกมาส่งถึงปากทางเข้าอำเภอ และสุดท้ายนี้ต้องขอขอบพระคุณ โกตา เป็นอย่างสูง ที่ให้โอกาส HDP เข้าไปเยี่ยมคารวะ และจัดทำบทความที่บอกเล่าถึงประสบการณ์จริงของบุคคลที่สมควรแก่การยกย่องให้เป็นหนึ่งในปูชนียบุคคลในแวดวง HD ของเมืองไทย
|