|
หลังจากเดินทางไปขี่รถในยุโรปเมื่อช่วงต้นปี มีเพื่อน ๆ พี่ ๆ หลายท่านสอบถามผมว่า ไปขี่ทริปยุโรปหมดไปเท่าไหร่? ครึ่งล้านได้ไหม? เอารถไปยังไง? ทั้งหมดนี้ไม่ยากอย่างที่คิด แต่ถ้าไม่เตรียมตัวให้ดีก็อาจจะลำบากอยู่เหมือนกันครับ ดีไม่ดี โดนส่งกลับตั้งแต่ลงเครื่องเลยก็เป็นไปได้
การเดินทางไปขี่รถในต่างแดนมีหลากหลายรูปแบบ ตามแต่กำลังทรัพย์ - ระยะเวลาที่เอื้ออำนวย รวมไปถึงสไตล์การเดินทางที่ชอบ บางท่านชอบลุย ๆ ถึงไหนถึงกัน บางท่านชอบแบบสบาย ๆ ขี่เอาบรรยากาศ อันนี้คงต้องแล้วแต่ความชอบส่วนบุคคลครับ
|
|
|
การเลือกบริษัททัวร์
ส่วนทริปการเดินทางของผม เป็นทริปที่เดินทางด้วยระบบทัวร์มอเตอร์ไซค์ จาก Edelweiss Bike Travel ซึ่งเป็นบริษัททัวร์ท่องเที่ยวด้วยรถมอเตอร์ไซค์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกในเวลานี้ ถ้าลองเข้าไปดูที่เว็บไซต์ www.edelweissbike.com จะเห็นว่ามีทัวร์หลากหลายให้เลือกจองเลือกขี่อยู่ทั่วโลก ข้อดีของการไปขี่ท่องเที่ยวด้วยทัวร์แบบนี้ คงคล้าย ๆ กับการซื้อแพคเกจทัวร์ทั่วไปที่เราคุ้นเคยกันครับ ไม่จำเป็นที่จะต้องไปล่ารายชื่อเพื่อน ๆ ให้ครบตามจำนวน ถึงจะจัดทัวร์ให้คุ้มค่าใช้จ่าย หรือถ้าไม่มีใครไป จะบินเดี่ยวมันก็กระไรอยู่ แต่ระบบทัวร์แบบนี้ ถึงแม้เราจะมีเวลาว่างอยู่แค่คนเดียว ก็สามารถซื้อทัวร์ไปขี่เที่ยวได้ เพราะจะไปสมทบกับคณะทัวร์ที่มีบรรดาลูกทัวร์ในลักษณะเดียวกันบินไปเจอที่จุดหมายปลายทาง อันนี้เหมาะมากสำหรับผู้ที่อยากเดินทางท่องเที่ยว แต่หาเพื่อนร่วมอุดมการณ์ที่มีเวลาตรงกันไม่ค่อยจะได้
ทัวร์ของบริษัทนี้ โดยเฉลี่ยแล้วลูกทัวร์จะมีอายุค่อนข้างมาก คือมากกว่า 60 ปีเป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากเป็นวัยปลดเกษียณ ไม่ต้องทำงานแล้ว จึงใช้เวลาว่างในงานอดิเรกที่ชอบ และหาโอกาสออกเดินทางไปยังสถานที่ต่าง ๆ ที่เคยวางแผนเอาไว้ตั้งแต่วัยทำงาน แต่ไม่มีเวลาทำให้สำเร็จ ประกอบกับมาตรฐานของการจัดทัวร์ที่สะดวกสบายจึงเป็นสาเหตุให้บรรดาคุณลุงคุณป้า มาใช้บริการกันมากครับ
|
|
|
การเลือกทริป
กลับมาต่อกันที่ทริปยุโรปของผมกันดีกว่า เริ่มต้นผมก็ลองเลือกเส้นทางที่น่าสนใจในเว็บไซต์ข้างต้น จุดหมายแรกที่อยากไปขี่ในยุโรปคือ ‘เทือกเขาแอลป์’ ที่ผ่านทุกครั้งด้วยเครื่องบินหรือรถบัส แต่ไม่เคยได้มีโอกาสไปเล่นโค้งด้วยมอเตอร์ไซค์ซักที ลองเช็คดูจะมีทริปผ่านเทือกเขาแอลป์อยู่หลายทริปให้เลือก แต่ท้ายสุดแล้ว ผมเลือก Alps and Lakes เพราะระยะทางกำลังพอดี เวลาที่ไปขี่ไม่นานเกิน แถมวันที่มีทัวร์ก็อยู่ในช่วงต้นฤดูร้อนของยุโรป คงจะได้กลิ่นไอของความเย็นอยู่บ้างครับ ส่วนค่าใช้จ่ายก็มีให้เลือกตามประเภทรถ ถ้าเลือกรถอย่าง Suzuki V-Storm 650 นอนรวมกับคนอื่น ราคาจะอยู่ที่ 2610 USD แต่ผมอยากลอง Ducati Multi Strada กะนอนคนเดียว ราคาก็จะกลายมาเป็น 3610 USD |
|
|
พอเลือกทริปได้ ผมก็ส่งเมล์คุยกับ Edelweiss ว่าสนใจที่จะซื้อทัวร์อันนี้ การติดต่อค่อนข้างง่ายสำหรับผม เพราะ MD ของที่นี่เคยมาเป็นแขกขี่เที่ยว Esarn Trip เมื่อครั้งงาน Bangkok Motorbike Festival ต้นปีที่ผ่านมา ทำให้การจองรถ - การจองทริปเป็นไปด้วยความรวดเร็ว ทั้งที่โดยปกติแล้วก็คงไม่มีอะไรติดขัดหรอกครับ
หลังจากทำการจองทัวร์เรียบร้อยแล้ว ทาง Edelweiss จะขอมัดจำเป็นเงิน 500 USD โดยจ่ายผ่านทางบัตรเครดิต ก็ไม่ได้ยุ่งยากอะไร แค่กรอกแบบฟอร์มการจองทัวร์แล้วก็ให้หมายเลขบัตรเครดิตไปเท่านั้น แต่สำหรับบางคนที่ยังไม่มั่นใจว่าจะได้ไปแน่นอนหรือเปล่า ก็อย่าเพิ่งไปวางมัดจำกับเขานะครับ เพราะถ้าเกิดไปขอวีซ่าแล้วไม่ผ่าน ทางโน้นเขามีเงื่อนไขในการคืนเงินค่ามัดจำที่ค่อนข้างหยุมหยิมพอสมควร ทางที่ดีวางแผนทริปตั้งแต่เนิ่น ๆ แล้วขอวีซ่าให้เรียบร้อยก่อนจะดีกว่า
|
|
|
ประกันอุบัติเหตุ
สำหรับบางท่านที่กังวลหากเกิดเหตุการณ์ใด ๆ ระหว่างการเดินทางขี่มอเตอร์ไซค์ เพราะค่าใช้จ่ายในการรักษาในต่างประเทศสูงลิบ จนบางครั้งอยากจะทนเจ็บกลับมารักษาที่บ้านเรา ท่านสามารถซื้อประกันอุบัติเหตุเพิ่มเติมที่คุ้มครองในกรณีขี่รถมอเตอร์ไซค์ได้ด้วย ผมให้ทาง Edelweiss หามาเพิ่มให้ ค่าเบี้ยอยู่ที่ประมาณ 26 EUR ส่วนประกันที่ต้องถูกบังคับทำที่เมืองไทยสำหรับใช้ขอวีซ่า ผมก็ทำอีกใบซะเลย ก็ไม่แน่ใจว่าอันไหนมันคุ้มครองครบถ้วน ก็เลยซื้อเอาไว้กันเหนียวครับ
|
|
|
การเทรนก่อนขี่จริง
สำหรับทริป Alps and Lakes จะมีคอร์สอบรมระยะสั้นก่อนขี่ขึ้น Alps เพื่อที่จะได้ทำความคุ้นเคยกับตัวรถ และเรียนรู้ทักษะเบื้องต้นก่อนที่จะออกเดินทาง ถ้าใครอยากจะเสริมสร้างความมั่นใจก่อนลุยจริง คอร์สนี้กำลังเหมาะครับ เพราะจะต้องเดินทางไปก่อนวันจริง 1 วัน อบรมทฤษฎีช่วงเช้า พอตอนสายก็ไปลองรถ ช่วงบ่ายขี่ไปเที่ยวเมืองใกล้ ๆ จะได้คุ้นเคยกับรถ แต่จะต้องเพิ่มค่าใช้จ่ายไปอีก 380USD เป็นค่าอบรม, ค่าเช่ารถ, ค่าที่พัก, ค่าอาหาร 1 มื้อ ผมว่าคุ้มนะ เพราะจับรถวันแรกถึงกับเหวอ ไม่ได้ขี่รถสูง ๆ มาตั้งนาน แต่พอจบวัน คราวนี้พริ้วเลยครับ ลุง ๆ ทั้งหลายได้มีโอกาสล้มแผละเล่น ๆ ก็ตอนอบรมเนี้ยแหละ ดีกว่าไปล้มอยู่บนถนนจริง
|
|
|
จองตั๋วเครื่องบิน
หลังจากรู้กำหนดการเดินทางของทริปที่จะไปเรียบร้อยแล้ว คราวนี้ก็มาจองตั๋วเครื่องบินเพื่อที่จะไปยังสนามบินของเมืองจุดเริ่มต้นของ ทริป วันที่จะต้องไปถึงคือ วันก่อนเริ่มขี่ เช่น เริ่มขี่วันจันทร์ ก็ต้องไปถึงก่อน 5 โมงเย็นวันอาทิตย์ ส่วนวันกลับก็คือ วันหลังจากจบการเดินทาง เช่น จบทริปการขี่วันเสาร์ ก็จองตั๋วกลับวันอาทิตย์ ส่วนจะเลือกสายการบินอะไร อันนี้แล้วแต่กำลังทรัพย์ในกระเป๋าครับ ตั๋วที่ราคาไม่แพงก็คงจะเป็นพวกสายการบินทางตะวันออกกลาง แต่ต้องไปแวะเปลี่ยนเครื่องเสียเวลากันประมาณ 2 - 3 ชั่วโมง อย่างตอนที่ผมไป ผมใช้บริการของ Qatar Airline ต้องแวะเปลี่ยนเครื่องกันที่ โดฮา ก็ไม่ได้เสียเวลามากมายอะไร แค่ชั่วโมงกว่า ๆ ก็ไปต่อแล้ว แถมค่าตั๋วเครื่องบินก็ไม่แพงประมาณ 3 หมื่นกว่าบาท แต่ถ้าอยากจะนั่งแบบ Direct ขึ้นเครื่องแล้วกินยานอนหลับ ตื่นขึ้นมาอีกทีก็เตรียมลง ก็คงต้องเป็นการบินไทย หรือพวก Lufthansa แต่ราคาจะขึ้น 5 หมื่นกว่าบาทครับ
ซึ่งหลังจากจองตั๋วเครื่องบินกับ Agent เรียบร้อยแล้ว ก็เอาใบจองตั๋วมาใช้ประกอบการยื่นวีซ่า ยังไม่ต้องไปจ่ายเงินค่าตั๋วนะครับ แค่ใบจองก็พอแล้ว เดี๋ยวขอวีซ่าไม่ผ่านจะกลายเป็นเสียเงินฟรี ไว้ได้วีซ่าเรียบร้อยแล้ว ค่อยจ่ายเงินค่าตั๋ว
|
|
|
การขอวีซ่า
หลังจากนั้นเป็นขั้นตอนที่ต้องใช้เวลาพอสมควร นั่นคือการขอวีซ่า Schengen เพื่อเดินทางเข้าสู่ประเทศในกลุ่มยุโรป วิธีการขอวีซ่าขึ้นอยู่กับระเบียบการขอของแต่ละประเทศ ต้องเข้าไปดูในเว็บสถานฑูตของประเทศที่ท่านต้องการเดินทางเข้าไปว่ามีระเบียบข้อกำหนดอย่างไรบ้าง ซึ่งสิ่งสำคัญในการขอวีซ่า Schengen ก็คือ อยู่ประเทศไหนนานที่สุดให้ไปขอที่ประเทศนั้น อย่างทริป Alps & Lakes ที่ผมเดินทางไปขี่ จุดเริ่มต้นอยู่ที่ Munich แต่พักอยู่ในประเทศ ออสเตรียมากกว่า อันที่จริงแล้วต้องไปขอที่สถานฑูตออสเตรีย แต่ด้วยความเข้าใจผิดมาโดยตลอด ทำให้ผมนึกแค่ว่าเข้าประเทศไหนก่อนให้ขอประเทศนั้น ครั้งแรกก็เลยจองคิวขอวีซ่ากับสถานฑูตเยอรมัน ด้วยคิวการรอร่วม 1 เดือนเต็ม คิดว่ายังไง ๆ ก็ได้ ทันวันออกเดินทางแน่นอน แต่พอถึงวันนัดสัมภาษณ์ พอยื่นเอกสารการจองที่พักให้เจ้าหน้าที่สถานฑูต กลับกลายเป็นว่า ต้องไปขอกับสถานฑูตออสเตรีย
จะขอร้องยังไงก็ไม่ยอมรับฟัง ทั้งที่จริง ๆ แล้ว เอกสารที่ยื่นถ้าปรับเปลี่ยนวันซักนิดหน่อยให้อยู่ในเยอรมันมากกว่าก็เป็นอันเสร็จพิธีครับ พอหน้าหงายออกจากสถานฑูตเยอรมัน เลยต้องรีบแจ้นไปสถานฑูตออสเตรีย ที่อยู่ในซอยใกล้ ๆ กัน พอไปถึงก็พบกับข่าวดีว่า ต้องรอคิวอีกประมาณ 2 สัปดาห์ เรียกว่าได้คิววันออกเดินทางพอดี แต่ในท้ายที่สุดแล้ว เราก็หาทางขอวีซ่าทันจนได้ อันนี้ขอไม่ออกอากาศนะครับ เพราะเดี๋ยวผิดระเบียบทางราชการ
|
|
|
ประสบการณ์ในการขอวีซ่าคราวนี้ นับว่าเป็นบทเรียนอย่างดีครับ ยิ่งในกรณีจ้างให้บริษัทที่อ้างตัวว่ารับทำวีซ่าให้ได้ ยิ่งไปกันใหญ่ ในกรณีของพี่เปรียวเกือบต้องโดนส่งตัวกลับ เพราะบริษัทที่รับจ้างทำ เขากุเรื่องการเดินทางเอาเอง แล้วก็ไปขอกับสถานฑูตที่ไม่ต้องให้ผู้เดินทางไปแสดงตัวอย่างประเทศฝรั่งเศส ถ้าเดินทางไปลงฝรั่งเศสก็สบายไปครับ แต่ถ้าไปลงที่เยอรมัน เจ้าหน้าที่ ตม. ของที่นี่เขาจะมาดักรอกันตั้งแต่ปากทางออกเครื่อง ตรวจวีซ่าด่านแรกกันตรงนั้นเลย พอเห็นว่าเป็นวีซ่าของประเทศอื่น ก็จะกักตัวเพื่อสอบถามว่าทำไมถึงขอจากที่อื่นแล้วมาเข้าที่นี่ ถ้าเรามีเอกสารยืนยันว่า เราพักที่อื่นมากกว่าแต่เริ่มต้นเดินทางที่เยอรมัน ทางเจ้าหน้าที่จะโทรไปสอบถามว่าเราจองที่พักไว้ตามที่แจ้งจริงหรือเปล่า ถ้าเป็นความจริงก็ไม่มีอะไร แต่ถ้ากุเรื่องขึ้นมาเหมือนกรณีพี่เปรียว อันนี้คงต้องอาศัยโชคช่วยให้เขาเชื่อเรื่องที่กุขึ้นล่ะครับ
|
|
|
ใบขับขี่สากล
ไปทำได้ที่ได้สำนักงานกรมขนส่งใกล้บ้านครับ ค่าธรรมเนียม 505 บาท เอาใบขับขี่ไทยไปยืนขอ แป๊ปเดียวก็ได้แล้ว แต่พอไปถึงนู่นไม่ยักกะได้ใช้ ไม่มีตำรวจมาตรวจซักคน แต่ถ้าตรวจแล้วไม่มีคงโดนหนักกว่า 505 บาท เพราะฉะนั้นทำไปเถอะครับ
|
|
|
แลกเงิน
ประเทศ ในกลุ่มยุโรปใช้เงินสกุล Euro ซึ่งช่วงที่ผมไป อัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่ 43 บาทต่อ 1 ยูโร แลกไปไม่ต้องเยอะหรอกครับ ซัก 1,000 ยูโร ก็พอแล้ว นอกเสียจากว่าตั้งใจจะไป shopping ของฝาก แต่ถ้าตั้งใจจะไปซื้อของแต่งรถ HD คงจะต้องผิดหวังครับ เพราะในยุโรปพวกของแต่งรถจากอเมริกา จะราคาสูงพอ ๆ กับบ้านเรา หรือจะใช้บัตรเครดิตก็สะดวกดีครับ เพราะแทบทุกที่ในยุโรปเขารับบัตรเครดิตพวก Visa หรือ Master Card อยู่แล้ว สำหรับสถานที่แลกเงิน ก็แลกได้ตามธนาคารหรือที่สนามบิน แต่ถ้าอยากได้เรทดี ๆ ก็ Super Rich ที่อยู่ราชดำริ ตรงข้าง Central World จะให้เรทดีที่สุดครับ
|
|
|
จ่ายเงินค่าทัวร์
หลังจากจัดเตรียมทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ก็ได้เวลาจ่ายเงินค่าทัวร์ส่วนที่เหลือ ถ้าจำไม่ผิด จะต้องจ่ายค่าทัวร์ก่อนวันเริ่มต้นทริป 30 วัน เพราะฉะนั้นก็ควรที่จะวางแผนทริปไว้ล่วงหน้า ให้รู้ว่าได้วีซ่าชัวร์แล้วถึงค่อยจ่าย แต่สำหรับทริปของผม ผมจ่ายไปก่อนเลย เพราะคิดว่ายังไง ๆ ก็ได้วีซ่าอยู่ดี แต่ที่ไหนได้ เกือบเสียเงินฟรีเพราะมาตายน้ำตื้นเกี่ยวกับระยะเวลาที่อยู่ในออสเตรีย สำหรับการจ่ายเงินส่วนที่เหลือกับ Edelweiss สามารถจ่ายได้ทั้งแบบโอนผ่านทางธนาคารและแบบบัตรเครดิต แต่ถ้าเป็นอย่างหลังจะโดนชาร์จ 3% แต่ผมเลือกวิธีโอนเงินผ่านทางธนาคาร ไม่ยุ่งยากครับ แค่พิมพ์ใบยืนยันการจองทัวร์ที่ทาง Edelweiss ส่งมาให้ แล้วไปโอนเงินกับธนาคารที่มีบริการโอนเงินต่างประเทศ ทางธนาคารก็จะดำเนินการให้เสร็จเรียบร้อย จะมีก็ตอนถามว่าโอนไปเป็นค่าอะไร พอผมบอกว่า ค่าทัวร์ขี่มอเตอร์ไซค์ เจ้าหน้าที่ถึงกับ งง บอกว่าไม่เคยได้ยินมาก่อน แถมถามใหญ่ว่าไปยังไง ไม่อันตรายเหรอ 555 เหมือนกำลังทำเรื่องประหลาดอยู่เลยแฮะ
|
|
|
จัดกระเป๋า
ทริปที่ไปผมขนของไปแค่พอใช้งานครับ คร่าว ๆ ก็มีประมาณนี้
-
กางเกงยีน 2 ตัว (ใส่ตั้งแต่วันไป 1 ตัว ส่วนอีกตัวเก็บเอาไว้เผื่อตัวแรกเปียก กลายเป็นใส่ตลอดทริป แค่ตัวเดียว อากาศมันเย็นไม่เหม็นหรอกครับ 555)
-
เสื้อยืดแขนยาวเยอะหน่อย เอาไปครบวัน
-
ถุงเท้าครบวัน
-
กางเกงในครบวัน ขี้เกียจซัก
-
กางเกงใส่นอน เสื้อใส่นอน
-
ชุดขี่แบบกันฝน
-
เสื้อกันหนาว, แจ๊คเก็ตหนัง กับ Chaps
-
ผ้าพันคอ ผ้าปิดหน้า
-
รองเท้าบูท แค่คู่เดียว ใส่ตลอดทริป
-
หมวกกันน็อคแบบเต็มใบกับแบบครึ่งใบ ซึ่งไม่มีโอกาสใช้แบบครึ่งใบแน่นอน เพราะหนาวกับผิดกฏหมาย เพราะฉะนั้นไม่ต้องเอาไปให้เปลืองเนื้อที่
-
ถุงมือเต็มนิ้ว กะครึ่งนิ้ว อันนี้เอาไปเผื่อไว้ก่อนก็ดี แต่ผมใช้แต่แบบครึ่งนี้ว เพราะใส่เต็มนิ้วแล้วไม่ถนัด บีบคลัชท์กับบิดคันเร่งไม่สะดวก
-
ยารักษาโรคประจำตัว กับยาแก้ท้องเสีย อันนี้ได้มาจากพี่จุ๊บ เพราะเวลาออกทริปยาว ๆ แล้ว เรื่องยาสำคัญมาก ยิ่งในยุโรปด้วยแล้ว เขาไม่ขายยาในร้านทั่วไปเหมือนทางฝั่งเอเซีย เพราะฉะนั้นจัดไปเองดีที่สุดครับ
-
แพคเกจโทรศัพท์ กับแพคเกจ Internet ตอนนี้เค้ามี Sim ที่ใช้ตามประเทศต่าง ๆ ขายในเน็ต อย่างของ ThaiHiSim ผมเคยเอาไปใช้ที่จีน ใช้สะดวก โทรกลับบ้านนาทีละ 3 บาท รับสายจากที่บ้านนาทีละ 1 บาท ส่วนแพคเกจ Internet ของทางยุโรป ไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่ครับ ซื้อซิมแบบ Prepaid ก็ไม่ค่อยมีแพคเกจเน็ตให้ใช้ เผลอไปเปิด BB แค่ 2 ชั่วโมง บิลเรียกเก็บเงินเพิ่งมา ถึงได้รู้ว่าโดนไปร่วม 4 พัน
-
กระเป๋าตังค์, บัตรเครดิต, เงินยูโร, ใบขับขี่สากล
-
พาสปอร์ต ลืมไม่ได้เด็ดขาด เดี๋ยวอดไป
นอกนั้นอยากขนอะไรไปเพิ่มก็ตามอัธยาศัยครับ ส่วนกระเป๋า ผมเอาแบบ Hard Case ไปเลย เพราะทัวร์ที่เลือกมีบริการขนกระเป๋าขึ้นห้องเมื่อจบวันให้ด้วย แต่ตอนเช้าต้องเอาลงมาที่ Lobby เอง ส่วนระหว่างการขี่ กระเป๋าของเราก็จะไปจอดอยู่ในรถ Service ที่จะคอยขนของไปให้ระหว่างการเดินทาง ไม่ต้องกังวลว่าจะต้องมัดของไปบนหลังรถ แต่ถ้าเลือกทัวร์อีกแบบที่เรียกว่า Ride for fun จะต้องขนกระเป๋าเองตลอดทาง แต่ราคาก็จะถูกกว่าอยู่เยอะเหมือนกัน
|
|
|
ออกเดินทาง
แนะนำให้ไปถึงสนามบินก่อนซัก 3 ชั่วโมง เพราะเดี๋ยวนี้คิว Check-in ยาวมากกกก พอเข้า ตม. ก็ยาวอีก กว่าจะผ่านด่านแค่ตรงนี้ไปได้ ผมว่าร่วม ๆ 1 ชั่วโมง จะได้มีเวลาไป เดินเล่นอยู่ข้างในซักหน่อย สำหรับเหล้า ถ้าต้องไปต่อเครื่องก็หมดสิทธิ์ขนไปจากบ้านเราครับ แต่ถ้าเป็นแบบบินตรง ก็ซื้อติดมือไปกินระหว่างเดินทางได้ แต่ผมก็ไปซื้อเอาที่สนามบินโดฮา ราคาไม่แตกต่างกันเท่าไหร่ บ้านเราถูกว่านิดหน่อย
|
|
|
พี่จุ๊บกับพี่เปรียว กำลังต่อคิว Check-in ที่สนามบินสุวรรณภูมิ
|
|
พอที่เคาเตอร์เช็คอินเห็นวีซ่าของพี่เปรียว ถึงกับเตือนว่าอาจจะไม่ได้เข้าประเทศเยอรมัน ยังยิ้มสู้กันอยู่ครับ
|
|
แวะพักที่โดฮา นั่งแค่ 5 ชั่วโมงก็ถึงแล้ว
|
|
สนามบินที่คนพลุกพล่านมากที่สุดแห่งหนึ่ง
|
|
โชคดีที่ไม่ต้องมานอนรอแบบนี้ ถ้าตกเครื่องอยู่ที่นี่คงแย่น่าดู
|
|
ถึง Munich
ถ้าวีซ่าเรียบร้อย เป็นของประเทศเยอรมัน ก็ผ่านฉลุยครับ ตม. ที่มาตรวจผมถามแค่ว่ามาทำอะไร ผมก็บอกว่ามาขี่มอเตอร์ไซค์ เขาก็ทำหน้าแปลกใจถามเพิ่มว่าไปขี่ไหนบ้าง พอบอกไปเขาก็เชิญให้เข้าประเทศตามปกติ แต่ของพี่เปรียวโดนเยอะหน่อย เลยต้องไปนั่งดื่มเบียร์รออยู่ด้านนอกกว่า 3 ชั่วโมง
|
|
|
ออกจากเครื่องปุ๊ป ก็โดนดักอยู่ที่ปากประตูเลย
|
|
กว่าจะได้ออกมานั่งดื่มเบียร์ด้วยกันด้านนอก ลุ้นกับแทบแย่กว่า 3 ชั่วโมง ความสามารถเฉพาะตัว ห้ามลอกเลียนแบบนะครับ
|
|
สำหรับทัวร์ของ Edelweiss จะไม่มีบริการมารับที่สนามบิน ต้องหารถนั่งไปเอง อย่างที่ Munich เราก็ต้องนั่งแท๊กซี่ไปที่เมือง Erding ซึ่งอยู่ห่างไปประมาณ 20 นาที การเดินทางในประเทศแถบยุโรปตะวันตกจะสะดวกและไม่ค่อยจะโดนโกง นอกซะจากบางประเทศที่ต้องระวังตัวกันหน่อยครับ
|
|
|
รู้จักกับชาวต่างชาติ
วันแรกที่มาถึงจะมีการแนะนำตัวกันระหว่างเพื่อนร่วมทัวร์ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นชาวต่างชาติ ภาษาที่ใช้ก็จะเป็นภาษาอังกฤษ ตรงนี้น่าจะเป็นปัญหาหลักของนักขี่ชาวไทยที่จะต้องไปร่วมทริปกับพวกเขา แต่ผมคิดว่าไม่จำเป็นที่จะต้องเข้าใจเค้าทั้งหมด 100% หรอกครับ เอาแค่ซัก 60% ก็พอแล้ว จะขลุกขลักบ้างก็ตอนนั่งคุยกันระหว่างพักหรือกินข้าว กับต้องทำความเข้าใจในส่วนของเส้นทางวิ่งเวลาเขา Brief แต่ ถ้าถนัดภาษาอังกฤษอยู่แล้ว ท่านจะได้ประสบการณ์ใหม่ที่หาไม่ได้ง่าย ๆ เลยครับ เพราะเราจะอยู่ในวัฒนธรรมสากล ที่แตกต่างจากของบ้านเราอยู่บ้าง แต่รับรองว่าสนุกแน่นอน
|
|
|
อีกเรื่องหนึ่งที่ต้องปรับตัวเมื่อต้องร่วมขี่กับชาวต่างชาติคือ ความตรงต่อเวลา เพราะพวกฝรั่งเวลาเขานัด 8 โมงเช้าเป็นต้อง 8 โมงเช้าเป๊ะ พอเวลา 7.45 เขาก็จะมารอกันแล้ว ถ้ามาสายเขาจะถือว่าเสียมารยาท และจะเตือนทันที อันนี้เป็นธรรมเนียมของพวกฝรั่ง ลองเป็นบ้านเรา
|
|
|
ประกันความเสียหาย
ในวันแรกที่ไปถึงและทำการรับรถ จะมีการสอบถามว่าต้องการซื้อประกันความเสียหายของตัวรถเพิ่มเติมหรือเปล่า ถ้าไม่ซื้อเพิ่ม เราจะต้องรับผิดชอบในมูลค่าความเสียหายสูงสุดประมาณ 2,000 – 3,000 EUR (ถ้าจำไม่ผิด) แต่ถ้าซื้อ จะต้องจ่ายเพิ่มประมาณ 200-300 EUR แล้วจะรับผิดชอบความเสียหายแค่ไม่เกิน 700 EUR สำหรับผม ไม่ซื้อครับ เพราะคิดว่าคงไม่ล้มหนัก ๆ แน่นอน ถ้าจะมีก็คงเป็นแค่ล้มแปะแบบเบา ๆ พอเป็นพิธี แต่ก็โชคดีที่ไม่ล้มครับ
|
|
|
ก่อนรับรถจะมีการตรวจเช็คและอธิบายการใช้งานเบื้องต้นให้ฟัง
|
|
ระเบียบการออกทริป
Edelweiss จะมีนโยบายการขี่ที่เน้นความปลอดภัยเป็นอันดับแรก ดังนั้นความเร็วที่ใช้ในการขี่จะอยู่ที่ประมาณ 80-110 กิโลเมตร/ ชั่วโมง จนบางครั้งผมแทบจะหลับคารถ อยากจะเร่งแซงก็ไม่ค่อยจะกล้า เพราะเล่นดักคอกันไว้ตั้งแต่ตอนต้นว่า ห้ามแซงในระหว่างอยู่ในขบวน เขากลัวว่าลำดับการขี่จะเปลี่ยนไป ทำให้ผู้นำขบวนสับสน แต่ถ้าอยากจะขี่ลุยกันเองก็สามารถทำได้ โดยกำหนดเอาไว้ว่า ต้องแยกออกไปขี่อย่างน้อย 2 คัน เพราะถ้าเกิดเหตุฉุกเฉินหรืออุบัติเหตุ ยังมีเพื่อนอีกคันโทรมาแจ้งขอความช่วยเหลือได้
|
|
|
ในระหว่างการขี่ ถ้าเกิดหลงทาง ให้ย้อนกลับมายังตำแหน่งสุดท้ายที่เห็นกลุ่ม และให้รออยู่บริเวณนั้นประมาณ 20 นาที เดี๋ยวไกด์ทัวร์ที่เป็นคนนำจะย้อนกลับมาตามหา อย่าพยายามขี่ไปในทิศทางต่าง ๆ ถ้าในที่สุดแล้วไม่มีคนย้อนกลับมา ก็ยังสามารถโทรติดต่อกับไกด์ทัวร์อีกคนที่จะคอยประจำอยู่ในรถ Service ได้ครับ ในระหว่างทริปได้มีการพิสูจน์ถึงทักษะในข้อนี้ของไกด์ทัวร์ที่นี่มาแล้ว พอเขาเห็นว่ารถในกลุ่มหายไปปุ๊ป เขาจะหาที่จอดพักให้คณะหยุดรอ แล้วจะ วิ่งย้อนไปในเส้นทางที่เพิ่งผ่านมาเพื่อตามหาลูกทัวร์ที่หลงไป ไกด์ทัวร์ของที่นี่จะต้องผ่านการฝึกอบรมทักษะการขี่นำและบริหารจัดการคณะทัวร์ครับ
อีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญมาก คือ ทัวร์ของที่นี่ไม่อนุญาตให้ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ใด ๆ ทั้งสิ้นในระหว่างออกทริป แค่เบียร์ซักกระป๋องตอนพักกลางวันก็ไม่ได้ จะเริ่มดื่มได้ก็ตอนเข้าถึงที่พักตอนเย็นเรียบร้อยแล้ว อันนี้เป็นระเบียบปฏิบัติที่น่าจะเอามาใช้เป็นมาตรฐานทั่วโลกครับ
|
|
|
ระหว่างการเดินทาง
ทุกทุกเช้าของการเดินทาง หลังจากทานอาหารเช้ากันเรียบร้อยแล้ว จะต้องนำกระเป๋าสัมภาระที่ต้องการฝากไปกับรถ Service ลงมาส่งที่ Lobby ก่อน ที่จะทำการ Brief เส้นทางประจำวันกันครับ ในระหว่างวันจะมีการหยุดพักทานของว่างกันเป็นช่วง ๆ บางครั้งการสั่งอาหารก็จะคิดแยกตามบิลที่สั่งส่วนตัว แต่บางครั้งจะมี การแชร์กันเกิดขึ้น แต่ทุกครั้งไกด์ทัวร์จะแจ้งให้ทราบก่อนว่าจะมีการแชร์ หรือการจ่ายล่วงหน้าไปให้ก่อน ถ้าเราไม่อยากแชร์ก็สามารถบอกเขาได้ แต่คิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องเล็กน้อยระหว่างการเดินทางครับ
|
|
|
อาหารและเครื่องดื่ม
มื้อเช้าของทุกวันจะรวมอยู่ในแพคเกจทัวร์เรียบร้อยแล้ว ส่วนมื้อกลางวันบางมื้อเท่านั้นที่จะรวมอยู่ในแพคเกจทัวร์ ส่วน มื้อเย็นจะมีเพียงแค่มื้อเดียวเท่านั้นที่ไม่ได้รวมอยู่ในแพคเกจทัวร์ ดังนั้นลองตรวจสอบดูให้ดีก่อนว่ามื้อไหนบ้างที่ทัวร์จัดการให้ ส่วนเครื่องดื่ม ถ้าเป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ จะต้องจ่ายเงินเองแทบทุกร้านเขาจะคุ้นเคยกับการจ่ายเงินแบบแยกกันจ่าย เวลาคิดเงินจะมีกระเป๋าสตางค์อันใหญ่ไว้สำหรับทอนเงินเรียงคน อันนี้เป็นเรื่องปกติของชาวต่างชาติครับ
|
|
|
Autobahn
ทางพิเศษระหว่างเมือง ถ้าตัดสินใจที่จะใช้บริการทางด่วนประเภทนี้ ต้องเตรียมใจไว้ก่อนว่า ท่านจะไม่ได้เห็นวิวทิวทัศน์สวย ๆ สองข้างทาง และจะต้องเตรียมสมาธิจดจ่ออยู่กับถนนที่ใช้ความเร็วสูง ซึ่งไม่เหมาะกับรถที่ใช้ความเร็วในการเดินทางได้แค่ 120-160 กิโลเมตร/ ชั่วโมง
|
|
|
ในออสเตรีย จะจำกัดความเร็วของ Autobahn ไว้ที่ 130 กิโลเมตร/ ชั่วโมง และจะต้องทำการซื้อตั๋วทางด่วนติดที่ด้านหน้ารถก่อนขึ้นใช้บริการ โดยสามารถหาซื้อได้ที่ปั๊มน้ำมันใกล้ทางขึ้น Autobahn
|
|
|
ในเยอรมันไม่มีการจำกัดความเร็วบน Autobahn แต่ในบางช่วงจะมีสัญญาณไฟแจ้งให้ใช้ความเร็วตามที่กำหนด อย่างบริเวณขึ้นเขา ทางโค้ง หรือในระหว่างฝนตก สำหรับทางพิเศษในเยอรมันสามารถขึ้นฟรีไม่มีค่าใช้จ่ายครับ แต่ความเร็วของ Autobahn เยอรมันค่อนข้างอันตรายสำหรับรถมอเตอร์ไซค์ เพราะรถยนต์ส่วนใหญ่ที่วิ่งอยู่เลนซ้ายสุดจะใช้ความเร็วเฉลี่ยที่ 180 กิโลเมตร/ ชั่วโมง เป็นอย่างน้อย
|
|
|
วันสุดท้ายของการเดินทาง
ทริป Alps and Lakes ในวันสุดท้าย จะเป็นการเดินทางกลับสู่เมือง Erding ซึ่งเป็นเมืองแรกที่เริ่มต้นทริป เมื่อกลับมาถึงโรงแรมแล้ว จะมีเจ้าหน้าที่ของ Edelweiss มาตรวจสอบสภาพรถร่วมกับเรา พร้อมกับเอกสารที่ได้ตรวจสอบร่วมกันตอบรับรถในวันแรก คล้ายกับเวลาเราเช่ารถจากบริษัทรถเช่าทั่วไปที่จะต้องเดินรอบรถเพื่อตรวจดูสภาพ รอยขูดขีดต่าง ๆ น้ำมันเต็มถังเมื่อกลับมาคืนหรือเปล่า ถ้าทุกอย่างเรียบร้อย Edelweiss ก็จะทำการคืนสลิปบัตรเครดิตที่รูดเป็นประกันเอาไว้ในตอนรับรถ แต่ถ้าหากมีการชำรุดเสียหายใด ๆ ทาง Edelweiss ก็จะมี List รายการอะไหล่ต่าง ๆ แจ้งให้ทราบว่าจะต้องมีค่าใช้จ่ายใด ๆเ พิ่มเติมบ้าง
|
|
|
มื้อค่ำวันสุดท้ายจะเป็นมื้อที่ผ่อนคลายมากที่สุด มาถึงวันนี้แล้วทั้งคณะแทบจะรู้จักนิสัยใจคอของกันและกัน เป็นธรรมชาติของคนที่ออกทริปขี่มอเตอร์ไซค์ร่วมกันจะมองเห็นน้ำใจและอุปนิสัยได้อย่างรวดเร็ว เป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วโลก บางคนก็จะมีการให้ทิปพิเศษแก่ไกด์ทัวร์ อันนี้แล้วแต่จิตศรัทธาจะให้หรือไม่ให้ก็ได้
|
|
|
กลับบ้าน
ในวันเดินทางกลับ ทางโรงแรมจะให้ Check Out เวลาเที่ยง แต่ถ้าไฟลท์เดินทางของเราเป็นช่วงเย็น ก็สามารถขอเช็คเอาท์สายหน่อยก็ได้ แต่ต้องไปแจ้งทางโรงแรมให้เรียบร้อยก่อน อาบน้ำอาบท่าให้สบาย แพคกระเป๋าเรียบร้อยก็แจ้งให้ทางโรงแรมเรียกแท๊กซี่เพื่อเดินทางไปสนามบิน เผื่อเวลาซัก 3 ชั่วโมงเป็นดีที่สุดครับ ไปเดินเล่นเอาที่สนามบิน ดีกว่าฉุกละหุกตกไฟลท์ไม่ได้กลับบ้านจะแย่เอานะครับ
|
|
|
ทั้งหมดนี้น่าจะเป็นทิปเพียงเล็กน้อยถ้าหากเพื่อน ๆ พี่ ๆ ท่านใดกำลังวางแผนการเดินทางไปขี่มอเตอร์ไซค์เล่นในต่างแดน การเดินทางไปกับทัวร์เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ให้ความสะดวกสบาย และเข้าถึงเส้นทางได้มากกว่าการเดินทางด้วยตัวเอง ยิ่งเป็นถนนหนทางในแถบยุโรปด้วยแล้ว ผมว่าไม่ง่ายครับ ไม่เหมือนกับเส้นทางในอเมริกา ระบบ GPS ที่ยุโรปบางทีดูแล้วงง เพราะถนนจะตัดคดเคี้ยวไปมา แถมป้ายบอกทางเป็นภาษาเยอรมัน-ฝรั่งเศส อ่านแล้วเหมือนกับจะรู้เรื่อง แต่ไม่รู้เรื่องเลย เอาแค่ป้ายห้องน้ำ Damen กับ Herren ที่มีแค่ตัวอักษรอย่างเดียว แค่นี้ก็ทำเอาผมเข้าผิดไปเข้า Damen ซะ เพราะนึกว่ามีคำว่า men มันต้องเป็นห้องน้ำชายแหง๋ๆ เปิดไปไหง๋ไม่มีโถยืนหว่า โชคดีไม่มีใครอยู่ เลยรอดข้อหาอนาจารในต่างแดนไปได้
|
|
|
คำถามยอดฮิต
- ถ้าเราพูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยเก่งเขาจะให้เราไปเหรอ?
ไปได้สิครับ เพราะเราจ่ายเงินเขา แต่ไปแล้วจะสนุกและเข้าใจคำอธิบายเส้นทางต่าง ๆ หรือเปล่านี่อีกเรื่องหนึ่ง ผมเคยถามทางนู้นเขาว่าถ้าจะจ้างล่ามไปกับทัวร์ด้วยได้หรือเปล่า คำตอบคือ จ้างได้แต่ราคาคงสูงน่าดู เขาแนะนำให้เป็นลักษณะของ Custom Tour ซึ่ง Edelweiss ก็รับจัดทัวร์ตามที่ลูกค้าต้องการเช่นกัน แต่ต้องมีลูกทัวร์ตามจำนวนขั้นต่ำ หรือยิ่งเยอะยิ่งถูก คราวนี้จะจ้างล่ามติดไปกับทัวร์ด้วยก็ได้ครับ
|
|
|