สำหรับการจัดงานในปีนี้ยังคงแนวคิดเดิมคือ
งานสังสรรค์เพื่อจัดหาทุนไปมอบให้กับโรงเรียนหรือเด็กๆที่ด้อยโอกาสและต้องการความช่วยเหลือ โดยในปีนี้จะมีการปรับเปลี่ยนจากการนำเงินที่ได้รับบริจาคไปมอบให้กับโรงเรียนใดโรงเรียนหนึ่ง มาเป็นการจัดตั้งกองทุนเพื่อช่วยเหลือในระยะยาวครับ

ปีนี้ HDP ได้มีการสำรวจโรงเรียนและหน่วยงานที่ต้องการความช่วยเหลือหลายแห่ง
ซึ่งขณะนี้สรุปได้ว่าจะนำเงินกองทุนที่ได้รับบริจาคไปช่วยเหลือหน่วยงานต่างๆดังนี้
1. โรงเรียน วิชาวดี อ.ปากน้ำโพ จ.นครสวรรค์

โรงเรียนแห่งนี้ถูกก่อตั้งขึ้นโดยดำริของคุณพ่อของ ดร.คมกฤษณ์ ผู้เป็นอาจารย์อยู่ที่มหาวิทยาลัยนเรศวร จ.พิษณุโลก
และยังเป็นที่ปรึกษาการจัดงาน Midway ของชาวพิษณุโลกด้วยครับ

เมื่อประมาณ 40 กว่าปีก่อน คุณตา (คุณพ่อของ ดร.)
ได้มอบที่ดินและอาคารโรงแรม ใน อ.ปากน้ำโพ ซึ่งขณะนั้นตัวอำเภอเป็นชุมชนค้าขายที่เจริญกว่าฝั่ง นครสวรรค์ในปัจจุบันมาก
เพื่อที่จะนำมาทำเป็นโรงเรียน ซึ่งมีแนวคิดตั้งแต่แรกเริ่มคือ ให้การศึกษาเด็กโดยไม่มีการเก็บค่าเล่าเรียน และยังคงยึดถือแนวคิดอันนี้มาจนถึงปัจจุบัน

อีกทั้งคุณตายังสนับสนุนค่าใช้จ่ายภายในโรงเรียนทุกเดือน ทำให้บรรดาครูที่สอนหนังสือเด็กๆ มีรายได้เพียงพอที่จะจุนเจือครอบครัวและทุ่มเทให้กับเด็กๆที่มาจากชุมชนต่างๆ
แต่เมื่อประมาณ 10 กว่าปีที่แล้ว คุณตาได้เสียชีวิตลง ทำให้เงินสนับสนุนรายเดือนที่เคยได้รับขาดหายไป มีเพียงเงินสนับสนุนจากรัฐบาล ที่ให้กับโรงเรียนเพียงแค่ 30% ของจำนวนนักเรียน
ตามนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการ คุณครูบุปผาชาติ ที่หลายๆคนรู้จักกันในนาม คุณครูห่อหมก ซึ่งเป็นครูใหญ่ของโรงเรียน
และเป็นคุณครูที่เริ่มต้นก่อตั้งโรงเรียนมาพร้อมกับคุณตา ต้องพยายามหารายได้เพื่อนำมาช่วยเหลือค่าใช้จ่ายภายในโรงเรียน
โดยการทำห่อหมกออกขายในตลาด ซึ่งมีรายได้เพียงวันละ 200-300 บาทเท่านั้น

ในวันที่ HDP เข้าไปสำรวจและพูดคุยกับคุณครูใหญ่ ซึ่งต่อสู้มาตลอด 40 กว่าปีตั้งแต่เริ่มก่อตั้งโรงเรียน
จะเห็นได้ว่า สิ่งปลูกสร้าง อาคารเรียนมีให้ใช้งานได้ จากการบริจาคของผู้ใจบุญหลายท่าน
แต่สิ่งที่โรงเรียนแห่งนี้ต้องการคือ การช่วยเหลือในระยะยาว จากค่าใช้จ่ายของครูผู้สอนซึ่งมีอยู่ 8 ท่าน ที่คอยดูแลเด็กนักเรียน 120 คน
รวมไปถึงเด็กจรจัดและยากจนกว่า 10 คนที่อาศัยอยู่กับคุณครูห่อหมกภายในโรงเรียน
ซึ่งเด็กเหล่านี้บางคน พอฟังประวัติจากคุณครูแล้วรู้สึกเศร้าใจไปกับโชคชะตา เด็กหญิงอายุเพียง 5 ขวบที่เดินอยู่หากินอยู่ริมถนน
ในวันแรกที่ได้ถูกนำมาอุปการะที่นี่ ยังไม่รู้จักห้องน้ำเลยด้วยซ้ำ เธอโตมาจากข้างถนนที่จะขับถ่ายเรี่ยราด และซ้ำร้ายกว่านั้น เด็กบางคนถูกข่มขืนตั้งแต่ยังจำความอะไรไม่ได้


เมื่อสอบถามถึงค่าใช้จ่ายรายเดือนที่ลองคำนวณดูคร่าวๆจากจำนวนครูภายในโรงเรียน น่าจะไม่ต่ำกว่า 4 หมื่นบาทต่อเดือน
แต่เมื่อเสนอตัวเลขว่า จะสนับสนุนค่าใช้จ่ายเป็นเงิน 3 หมื่นบาทต่อเดือน เพียงพอหรือไม่ คำตอบที่ได้รับกลับเป็นว่า มากเกินไป
ขอเพียงแค่ หมื่นกว่าบาทก็พอแล้ว ซึ่งแนวทางการช่วยเหลือเบื้องต้นก็เพื่อทำให้คุณครูที่อุทิศตัวเพื่อสอนเด็กๆเหล่านี้ ได้มีรายได้เพียงพอจุนเจือครอบครัว
และมีกำลังใจ-เวลาที่จะทุ่มเทให้กับเด็กๆเหล่านี้ต่อไป
ส่วนแผนการช่วยเหลือในระยะยาว คงจะทำให้โรงเรียนแห่งนี้สร้างรายได้เลี้ยงดูตัวเองได้ต่อไปในอนาคต จากการทำการเกษตรพื้นฐาน
เพื่อที่จะได้ไม่ต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจากภายนอก ซึ่งจะนำเสนอโครงการมาให้ทราบต่อไปในอนาคต
โรงเรียนอยู่ติดริมแม่น้ำน่าน.. วิวสวย แต่พอถึงหน้าน้ำ ก็ต้องผจญกับภัยน้ำท่วมแทบทุกปี

ร่องรอยระดับน้ำจะเห็นได้จากกำแพงอาคาร..

ทางเข้าโรงเรียนอีกด้าน.. บรรยากาศร่มรื่น จนเรียกได้ว่า วังเวง เพราะความเจริญย้ายไปอยู่ฝั่ง จ.นครสวรรค์ หมดแล้ว
